วันนี้ วันจันทร์ โชคชะตาพาผมไปพบกับหนังอีกเรื่องที่ก็เพิ่งคว้ารางวัลลูกโลกทองคำมาหมาดๆ และกำลังเข้าชิงออสการ์อีกรางวัลด้วย เรื่องราวเสริมสร้างกำลังใจของหญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของกิจการขายไม้ม็อบ เรื่องราวที่รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงที่นำแสดงโดย Jennifer Lawrence ผู้รับเป็น ‘JOY’ คนที่เป็นชื่อเดียวกับหนังนั่นเอง
มันเป็นเรื่องราวของชีวิตหญิงสาวคนหนึ่งในครอบครัวที่แสนจะไม่สมบูรณ์ เติบโตผ่านวันเวลาที่หลงลืมบางอย่างในวัยเด็กไป ก่อนจะได้สติกลับมาสู่เส้นทางเดิมที่เคยวาดหวังไว้แต่แรก หนังอารมณ์ดีที่ให้พลังผู้คนที่จิตใจกำลังทดท้อให้กลับลุกขึ้นมาสู้ใหม่
ด้วยใจที่แกร่งกว่าเดิม
เรื่องย่อหนัง ‘JOY’
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหนัง ล้วนเกิดขึ้นรอบๆ ตัวของเด็กสาวที่ชื่อ จอย (Isabella Crovetti-Cramp, Jennifer Lawrence) เราได้ทำความรู้จักกับครอบครัวของพวกเขา ครอบครัวใหญ่ที่ดูจะไม่สมบูรณ์แบบเอาเสียเลย จอยมีพ่อ (Robert De Niro) ที่หย่าร้างกับแม่ แต่งงานกับโทนี่ (Edgar Ramirez) หนุ่มนักร้องที่ดูไม่น่าจะพาเธอบินไปไหนได้ไกล
ลงท้ายพวกเขาก็หย่าร้างกัน
สิ่งที่จอยเคยมีเมื่อตอนเด็ก คือ เธอเป็นพวกช่างคิด ช่างจินตนาการ ฝันอยากจะเป็นนักประดิษฐ์ แต่เมื่อเธอเติบโตขึ้น ดูเหมือนปัจจัยต่างๆ รวมทั้งฐานะทางครอบครัวจะไม่เอื้อให้เธอทำสานต่อสิ่งเหล่านั้นอีกเลย จนวันหนึ่ง ที่เคยได้ฉุกคิดอีกครั้ง เธอจึงเริ่มคิดค้นประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ของการถูบ้าน ด้วยไม้ม็อบที่ไม่เคยมีมาก่อนและเธอมั่นใจว่ามันดีกว่าไม่ถูพื้นที่มีใช้กันอยู่ นี่อาจเป็นหนทางที่เธอจะได้ทั้งสองอย่าง การได้ทำตามฝัน และการกินดีอยู่ดีของครอบครัว
แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น …มันคงต้องมีบททดสอบหลายขั้นรออยู่
รีวิวหนัง ‘จอย’
ถ้าจะมองดูว่านี่เป็นหนังประเภทไหน อาจจัดอยู่ได้เป็น 2 ประเภทที่เกือบจะแยกกันอย่างชัดเจน หนึ่งเป็นหนังดราม่าเบาสมองของครอบครัว เพราะเรื่องราวในช่วงครึ่งแรก เน้นหนักที่จะเล่าอย่างอารมณ์ดีในช่วงเวลาที่ครอบครัวนี้ไม่ลงรอยกันเลยสักอย่าง ที่เหลือของหนังคือ… ดราม่าสร้างแรงบันดาลในการสร้างฝันให้เป็นจริง
‘JOY’ เรื่องราวดราม่าที่แสนจะอารมณ์ดี
หนังถูกบอกเล่าผ่านทางผู้เป็นยายของจอยอีกที นำเสนอให้เห็นชีวิตของเธอตั้งแต่วัยเด็กจนโตเป็นสาว เล่าด้วยอารมณ์ขัน โดยเฉพาะพ่อตาที่เกลียดขี้หน้าลูกเขยแถมต่างก็ตกพุ่มม่ายหย่าร้างทั้งคู่แต่ต้องมาอยู่ในห้องเดียวกัน กับคู่ลูกพี่ลูกน้องของจอยที่ชิงดีชิงเด่นกับเธอเสมอๆ
แม่ที่เป็นม่ายของจอย เอาแต่ดูละครน้ำเน่าอยู่แต่ในห้องไม่ยอมออกไปไหน หนังก็หยิบจุดนี้มาเล่าในปมของการหลบซ่อนจากผู้อื่น เพื่อจะไม่ต้องมีใครพบเห็น ซึ่งในช่วงต่อมา เราก็ได้พบว่า จอยมีพัฒนาการเพราะเลือกที่จะเดินออกเพื่อที่จะได้เห็นตัวเอง
ในช่วงครึ่งหลัง ‘จอย’ เปลี่ยนมุมมาเป็นหนังดราม่าเดินหน้าสู่ฝันเต็มตัว ความอารมณ์ขันแทบจะหายไปอย่างสิ้นเชิง
เสริมสร้างกำลังใจให้คนที่ดู
บางครั้ง เราก็มักจะโดนชีวิตและคนรอบตัวพัดพาไปจนหลงทาง หลงลืมความฝันของตัวเอง ปัญหาที่ก่อสุมอยู่ในบ้าน ทำให้เราไม่อาจเดินตามฝันตัวเองอย่างสบายตัวนัก ยิ่งเมื่อลูกมีผัว มีค่าใช้จ่ายจิปาถะต้องจับจ่าย จากที่เคยอยากจะสร้างอาณาจักรยิ่งก็กลับกลายเอาตัวรอดในรังหนู จอยเองก็เป็นเช่นนั้น เคราะห์ยังดีอยู่บ้างที่เธอยังมีคุณยายที่คอยให้สติตลอดมา
ทว่าฟังดูก็เหมือนหนังน้ำเน่าเรื่องหนึ่ง
ทั้งบ้านไม่มีใครใส่ใจเธอเท่าที่ควร เธอมีเพียงคุณยายที่ปลูกฝังความคิดบางอย่างไว้ให้กับเธอ มีเพื่อนสนิทผู้แสนดีซึ่งเป็นคนนอก มีพ่อที่ออกจากบ้านไปชั่วคราวและจู่ๆ กลับมาและพร้อมเสมอที่หาสาวคนใหม่
ชีวิตอะไรจะมีแต่ปัญหารุมเร้าขนาดนั้น ขนาดในวันที่เธอกำลังตื่นเต้นที่การกลับมาเดินในทางที่ฝันกำลังมีวี่แววสดใส กลับมีเหตุสลดใจเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น น่าเสียดายที่หนังแทบไม่ได้ปูอะไรมาก่อนเลย ทำให้บางเหตุการณ์ดูกะทันหันระดับที่รู้สึกได้ว่าหนังเล่าแบบหยาบเกินไป หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ หนังมีเวลาแค่ 2 ชั่วโมง จะให้เล่ามากกว่านั้นก็ไม่ได้
นั่นก็แสดงว่า หนังให้เวลากับบางเรื่องมากเกินไป
หนังเล่าเหมือนต้องการให้มีทุกอย่างในเรื่องเดียว จนบางครั้งมันไม่ได้พาให้คนดูเข้าไปอินมากพอกับเรื่องราวทั้งหมด แต่อย่างน้อยคนดูก็พอจะอินได้กับบางฉาก เพราะในเรื่องนี้ Jennifer Lawrence เล่นเอาไว้ค่อนข้างดี แทบจะแบกหนังเอาไว้ทั้งเรื่องก็ว่าได้
ช่วงหลัง เหมือนหลังเริ่มจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ทำให้เราได้เห็นถึงการกลับมาพบกันของ เจนลอว์ กับพระเอกคู่ขวัญ Bradley Cooper ที่สวมบทบาทเป็น นีล วอล์กเกอร์ คนที่พาจอยไปพบกับวิธีการขายรูปแบบใหม่ นั่นคือ ผ่านหน้าจอทีวี เขาเป็นเหตุผลสำคัญที่ให้เธอประสบความสำเร็จในชีวิต
ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสิ่งสำคัญในเรื่องคือ ไม้ถูพื้น หรือไม้ม็อบที่ทำความสะอาดตัวเองได้นี่แหละ ช่วงเวลาที่มีมันปรากฏอยู่ คือช่วงเวลาที่ใช่ของหนังอย่างแท้จริง
แต่แน่นอนว่า ทุกอย่างมันไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลายอย่างแน่นอน เพราะเธอยังต้องอุปสรรคอีกหลายอย่างที่เธอจะพ้นผ่านมันไปให้ได้ เธอจะต้องสตรองกว่าเก่า หรือไม่ก็อาจจะต้องเป็นคนใหม่ไปเลย
เพื่อจะไปให้ถึงเส้นชัยที่เธอหวัง
อิ่มใจกับ ‘จอย’ แต่ไม่เท่าเรื่องก่อนๆ ของ David O. Russell
จริงๆ เรื่องราวของจอยนั้นทรงพลังมากพอที่จะทำให้อินและฮึกเหิมไปกับตัวหนังได้ แต่ด้วยการเล่าเรื่องที่ดูไม่โฟกัสเท่าที่ควร เราจึงไม่อาจจะอินน้อยไปบ้าง แต่เพราะพลังการแสดงที่เจนลอว์ทำไว้ได้ตามมาตรฐานของตัวเอง ทำให้เราถึงน้ำตาซึมไปในบางฉาก ความรู้สึกเหมือนดูหนัง ‘วัยรุ่นพันล้าน’ ภาคฮอลลีวูดยังไงยังงั้นเลย
Jennifer Lawrence เธอเป็นดาราสาวที่มีออร่าในด้านความแกร่งในตัวเองอยู่แล้ว บวกความสามารถในการเล่นบทดราม่าที่ค่อนข้างสูง มันเลยพาเราไปอินได้ในระดับหนึ่ง แต่เรากลับรู้สึกอินน้อยกับความเป็นครอบครัวๆ นี้ บางทีเราก็รู้สึกว่า ตัวพ่อเองก็ดูจะมีความสัมพันธ์กับลูกในเชิงธุรกิจมากกว่าในเชิงบิดาเสียอีก
‘จอย’ มีคำคมดีๆ ในฉุกคิดอยู่เป็นระยะ สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนดูในระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะพูดถึงหนังที่ David O. Russell กำกับแล้วโดนใจมากที่สุด (ที่ได้ดู) ก็คงยังเป็น ‘Silver Lining Playbook’ อยู่เช่นเดิม
ชื่อภาพยนตร์: Joy / จอย
ผู้กำกับภาพยนตร์: David O. Russell
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: David O. Russell (screenplay), Annie Mumolo (story), David O. Russell (story)
นักแสดงนำ: Jennifer Lawrence, Robert De Niro, Bradley Cooper, Edgar Ramirez, Diane Ladd, Virginia Madsen, Isabella Rossellini, Isabella Crovetti-Cramp
ความยาว: 124 นาที
แนว/ประเภท: Comedy, Drama
อัตราส่วนภาพ: 1.85 : 1
เรท: ไทย/, MPAA/PG-13
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 18 กุมภาพันธ์ 2559
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Annapurna Pictures, Davis Entertainment, Fox 2000 Pictures
จอย
Joy - 6.1
6.1
Joy
จริงๆ เรื่องราวของจอยนั้นทรงพลังมากพอที่จะทำให้อินและฮึกเหิมไปกับตัวหนังได้ แต่ด้วยการเล่าเรื่องที่ดูไม่โฟกัสเท่าที่ควร เราจึงไม่อาจจะอินน้อยไปบ้าง แต่เพราะพลังการแสดงที่เจนลอว์ทำไว้ได้ตามมาตรฐานของตัวเอง ทำให้เราถึงน้ำตาซึมไปในบางฉาก ความรู้สึกเหมือนดูหนัง 'วัยรุ่นพันล้าน' ภาคฮอลลีวูดยังไงยังงั้นเลย