รีวิว The Last Letter From Your Lover จดหมายรักจากอดีต | เรื่องรักสองเวลา

ผลงานที่ดัดแปลงจากนิยายรักโรแมนติกของ Jojo Moyes ที่ทำออกมาให้น่าชื่นชมและเคยผ่านตาของใครหลายคนมาแล้วก็คงจะเป็น ‘Me Before You’ และนี่ก็คงจะเป็นอีกครั้งที่ผลงานของเธอกลายมาเป็นหนัง เพียงแต่ครั้งนี้ มันจะถูกฉายออนไลน์ทางเน็ตฟลิกซ์ ผมกำลังพูดถึง ‘The Last Letter From Your Lover’ ชื่อไทย ‘จดหมายรักจากอดีต’ ที่เพิ่งเริ่มออนไลน์ฉายให้ได้ดูกันไปตั้งแต่ 23 กรกฎาคม 2021 ที่เพิ่งผ่านมา

ความรักที่เกิดขึ้นในสองเวลา เรื่องราวที่เล่าถึงคนสองรุ่น ที่เชื่อมผูกกันด้วยจดหมายรัก หนึ่งเป็นความรักที่เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1965 กับอีกหนึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาปัจจุบัน น่าสนใจว่า ทั้งสองช่วงเวลาและสองความสัมพันธ์จะถูกเรียงร้อยอย่างไรให้มันมาเกี่ยวข้องกัน

น่าสนใจไม่เบาเลย…

เรื่องย่อหนัง ‘The Last Letter From Your Lover’

ในช่วงเวลาของอดีต เจนนี่ หรือ เจนนิเฟอร์ สเตอร์ลิง (Shailene Woodley จากหนังเรื่อง ‘The Mauritanian’, ‘Insurgent’ และ ‘Endings, Beginnings’) หญิงสาวที่แต่งงานลอว์เรนซ์ สเตอร์ลิง (Joe Alwyn จากหนังเรื่อง ‘The Favourite’ และ ‘Billy Lynn’s Long Halftime Walk’) เธออยู่ในบ้านที่ใหญ่โตหรูหรา แต่ดูเหมือนชีวิตของเธอกำลังเดินมาเจอทางแยก เธอได้รู้จักกับแอนโทนี่ โอแฮร์ (Callum Turner จากหนังเรื่อง ‘Emma.’, ‘Green Room’ และ ‘Victor Frankenstein’) นักหนังสือพิมพ์ที่กำลังจะเขียนเรื่องราวของสามีเธอ ความใกล้ชิดทำให้เธอได้พบรักแท้ ทว่ามาในช่วงเวลาที่ไม่ใช่

ทั้งสองจึงทำได้แค่การติดต่อกันผ่านทางจดหมาย

ในห้วงเวลาปัจจุบัน เอลลี่ ฮาเวิร์ต (Felicity Jones จากหนังเรื่อง ‘Rogue One: A Star Wars Story’, ‘A Monster Calls’ และ ‘The Theory of Everything’) สาวสวยผู้มีอาชีพเป็นนักเขียนนักหนังสือพิมพ์ของ ‘เดอะ ลอนดอน โครนิเคิล’ เธอกำลังค้นหาข้อมูลบางอย่างแต่กลับไปเจอเข้ากับจดหมายฉบับหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ ด้วยความช่วยเหลือของ ลอรี่ (Nabhaan Rizwan จากหนังเรื่อง ‘1917’) ชายผู้ดูแลห้องเก็บเอกสาร ทำให้เธอได้สืบสาวราวเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตผ่านข้อความที่อยู่ในจดหมาย

รีวิวหนัง ‘จดหมายรักจากอดีต’

อาจเป็นหนังที่ดูอบอุ่นด้วยงานภาพที่พาเรากลับไปพบเจอกับอดีตก่อนเราจะเกิด ในเวลานั้น ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังมีชีวิตที่ดี ได้สามีฐานะร่ำรวย แต่ดูเหมือนความรักที่จืดจางและผู้ชายคนใหม่ที่เข้ามาในชีวิตจะกลายเป็นคำตอบ แต่ในเวลานั้น การเลือกและการตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญ และจดหมายกลายเป็นสิ่งที่ยืนยาวมาจนถึงกาลที่จดหมายไร้ความสำคัญ

ความรักต้องห้ามที่เกิดขึ้นผิดเวลา

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต เป็นความลับที่ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้จนถึงวันนี้ วันที่นักเขียนนักข่าวอย่างเอลลี่ หญิงสาวที่มีสัญชาตญาณที่พร้อมจะตะครุบเรื่องราวที่น่าสนใจไว้ในทันทีที่พบมัน เธอได้พบเจอจดหมายฉบับหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ และทำให้เธอหาข้อมูลของมันเพิ่มเติม และหนังก็พาเราไปพบเจอกับความสัมพันธ์ในอดีตที่เกิดขึ้นผิดเวลา

เจนนี่ คือหญิงสาวคนนั้น เธอมีสามีที่ร่ำรวยแต่กลับไม่ได้เกิดจากความรัก จนวันหนึ่งที่เธอได้เจอกับเขา แอนโทนี่ ชายหนุ่มที่ชื่นชอบในอาชีพนักเขียน ทั้งสองต่างรู้ดีว่า ความสัมพันธ์นี้ไม่แน่นอนและต้องหลบซ่อน เป็นความรักต้องห้ามที่อาจเรียกกันง่ายๆ ด้วยภาษาชาวบ้านว่า “มีชู้” จึงทำได้เพียงการนัดจนในสวนแห่งหนึ่ง กับการติดต่อกันผ่านทางจดหมายและตู้ ปณ. ที่ตั้งขึ้นเพื่อคนทั้งสอง

แต่ก็ใช่ว่า ทุกอย่างจะราบรื่นเสียหน่อยนิ

ด้วยความเป็นนักเขียนนักหนังสือพิมพ์ แอนโทนี่จึงบรรยายความรู้สึกไว้อย่างงดงาม จนวันที่จดหมายนั้นมันอยู่ในมือของเอลลี่ เธอจึงประทับใจในข้อความเหล่านั้นมาก และมองเห็นว่าเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่ควรจะบอกเล่ามันให้คนอ่านได้รับรู้

ความรักของสองช่วงเวลา

หนังเล่าเหตุอดีตสลับเหตุปัจจุบัน เรื่องมันเป็นการเล่าของสองเวลา ที่ทำให้ได้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนในจุดเริ่มต้นและการเดินทางของความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน

ในอดีตอย่าง ค.ศ. 1965-1969 ที่เกิดเหตุขึ้นนั้น ผู้คนยังใช้จดหมายเป็นสื่อแทนความในใจและการติดต่อนัดหมาย จึงสามารถเรียงร้อยเขียนข้อความข้างในได้สละสลวยเพราะผ่านการคิดอันซับซ้อนก่อนจะกลายเป็นตัวหนังสือ อีกส่วนก็เพราะในยุคนั้น เทคโนโลยีไม่ได้สูงนัก อินเตอร์เน็ตยังไม่มีใช้ จดหมายจึงเป็นวิธีการติดต่อสื่อสารที่สำคัญ

ในขณะเดียวกัน ก็เป็นวิธีการที่ทั้งคลาสิกและเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกในความคิดของคนสมัยนี้

ตรงกันข้ามกันชีวิตในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีรุดหน้า ผู้คนสามารถติดต่อกันได้รวดเร็วจนแทบจะไม่ต้องใช้เวลาในการรออะไรมากมาย อีเมลและแชท กลายเป็นสิ่งปกติในการสื่อสารและนัดหมาย [แต่บางที การติดต่อแบบโพสต์อิทก็สร้างอิ่มเอมใจได้เหมือนกันนะ] ขณะที่การดำเนินชีวิตก็แตกต่างเช่นกัน สังเกตได้เอลลี่เองที่มักจะตื่นเช้าขึ้นมาพบเจอกับหนุ่มหน้าไม่คุ้นเพราะเมื่อคืนก่อน ความเมาทำให้เธอนอนกับเขานั่นเอง

ส่วนความรักในช่วงอดีตที่ถูกเล่าถึงในหนังเรื่องนี้ กลับเป็นความรักต้องห้าม การที่เจนนี่ผู้มีสามีเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว แต่กลับไปมีความสัมพันธ์แม้เพียงทางใจก็ถูกนับเป็นการคบชู้ได้อยู่แล้ว แม้มันจะเกิดขึ้นจากความรักที่แท้จริงก็ตาม แต่สังคมไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันก็มิได้ยอมรับมัน

เรื่องรักสองเวลาผ่านที่บอกเล่าไว้อย่างน่าสนใจ

เท่าที่ดูหนัง พบว่าเขาดำเนินเรื่องได้น่าสนใจมากเหมือนกันนะ หนังเดินเรื่องสลับกันไประหว่างเวลาช่วงอดีตของเจนนี่และแอนโทนี่ กับช่วงปัจจุบันของเอลลี่และรอรี่ โดยเปิดเรื่องที่ชีวิตของเจนนี่ผู้ที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาพร้อมกับอาการสูญเสียความจำ ทุกสิ่งที่พบเจอล้วนเป็นสิ่งที่เธอไม่คุ้นเคย ได้แต่พยายามรู้จักตัวตนและชีวิตเดิมของตัวเอง ก่อนที่ภาพเก่าๆ จะเริ่มกลับมา ระหว่างนั้นก็ตัดกลับมาเล่าเรื่องในยุคปัจจุบันของนักเขียนผู้ซึ่งบังเอิญพบจดหมาย

ภาพของบ้านเมืองและชีวิตในช่วงปี 1965-1969 มีแต่ความสวยงาม ถ่ายทำ มุมกล้อง ผสานดนตรีประกอบที่ชวนให้รู้สึกถึงความประณีต ขณะเหตุในยุคปัจจุบันก็ไม่ได้ดูสมัยใหม่มากจนเกินไปนัก เป็นลอนดอนที่มีเสน่ห์น่าค้นหา

หนังเดินเรื่องด้วยการสืบค้นของสองสาวต่างยุคต่างเวลา คนหนึ่งสูญเสียความจำจึงค้นหาความจริงที่เธอจำมันไม่ได้ ขณะที่อีกคน มองหาความจริงเบื้องหลังจดหมายฉบับนั้น พบว่า มันเป็นหนังที่ดูเรียบง่าย งานภาพดูเลิศหรู ขณะเดียวกันก็มีแต่ความแปลกใหม่ที่ส่งออกมาให้คนดูรู้สึกอยากติดตาม มีความพลิกผันเล็กๆ เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ส่งเสริมให้คนดูซึมซับตัวละครจนรู้สึกเอาใจช่วยไปโดยไม่รู้ตัว เพลงประกอบทุกเพลงล้วนน่าฟัง สองนักแสดงนำทำหน้าที่ได้โดดเด่น งานเล่าเรื่องด้วยภาพทำได้งดงามตรึงตา แม้เป็นหนังดราม่าโรแมนติก อาจจะไม่ใช่หนังที่คนส่วนใหญ่ชายตามอง

แต่เป็นหนังที่ควรค่าแก่การรับชมสำหรับคนรักหนังแนวนี้จริงๆ

ภาพยนตร์เรื่อง: The Last Letter From Your Lover / จดหมายรักจากอดีต
ผู้กำกับ:  Augustine Frizzell
ผู้เขียนบท: Nick Payne, Esta Spalding, Jojo Moyes (based on the book by)
นักแสดง: Shailene Woodley, Felicity Jones, Joe Alwyn, Callum Turner, Nabhaan Rizwan
ความยาว: 110 นาที
แนว/ประเภท: Drama, Romance
เรท: TV-MA
อัตราส่วน: 2.39 : 1
ปี: 2021
ช่วงเวลาเริ่มออกอากาศ: 23 กรกฎาคม 2021
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Blueprint Pictures, The Film Farm, Canal+, Cine+, StudioCanal, Netflix