จากภาพยนตร์ซอมบี้ภาคแรกเมื่อปี 2002 ที่บอกเล่าการเริ่มต้นของเชื้อร้ายที่ทำลายมนุษยชาติพร้อมสร้างให้พวกมันเลิกเชื่องช้าทว่าเคลื่อนได้รวดเร็วจนหนังเรื่องอื่น ๆ ทำตามกันหมด เคยมีภาคสองและเกือบจะมีภาคสามตามมาแต่ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และลากยาวมาจนถึงปีนี้ ’28 Years Later’ หรือชื่อไทย ‘28 ปีให้หลัง เชื้อเขมือบคน‘ ที่กลายเป็นภาคที่สามของจักรวาล 28 ไปแทน
คิดเห็นเช่นไรกับหนังซอมบี้ภาคต่อเรื่องนี้?
กลับมาแล้วกับหนังซอมบี้ที่ทุกคนจดจำ ผลงานจากผู้กำกับ แดนนี่ บอยล์ ที่กลับมาร่วมมือกับมือเขียนบท อเล็กซ์ การ์แลนด์ อีกครั้ง สร้างเรื่องสร้างราวของอังกฤษที่เผชิญภัยร้ายซอมบี้มายาวนาน จนคนบนเกาะเริ่มมีวัฒนธรรมของตนเอง พ่อที่พาลูกชายไปล่าซอมบี้ตัวแรกในพิธีเปลี่ยนผ่าน พาเราไปเจอกับซอมบี้ที่กลายพันธุ์จนมีความหลากหลาย ซึ่งนอกจากจะได้เห็นช็อตโหดๆ ของการไล่ล่าและเอาตัวรอดแล้ว ก็ยังมีช่วงพาขำและดราม่าพาน้ำตาซึมได้อีกด้วย
หนังที่ถ่ายทำด้วยไอโฟนทั้งเรื่อง พางานภาพที่ดูแตกต่างแต่เข้ากันดีกับฉากดิบๆ โหดๆ คุ้มค่าสมการรอคอยจริงๆ เลย
เรื่องย่อหนัง ’28 Years Later’
หลังการกำเนิดและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสร้ายที่ทำให้ผู้ติดเชื้อกลายเป็นซอมบี้ไปทั่วจนอังกฤษกลายเป็นพื้นที่กักกันโรค มีคนบางกลุ่มที่ยังอยู่ที่นั่น บนเกาะโฮลี่ไอส์แลนด์ที่ตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่ ทั้งมีการป้องกันภัยอันตรายจากเหล่าผู้ติดเชื้ออย่างแน่นหนา มีสะพานธรรมชาติที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ และมีน้ำขึ้นน้ำลงที่เป็นข้อกำจัดเป็นเวลา
สิ่งที่หนังภาคนี้โฟกัสก็คือเรื่องราวของครอบครัวหนึ่ง ที่มี ไอล่า (Jodie Comer จากหนัง ‘The Bikeriders’) ผู้เป็นแม่ที่ป่วยหนัก กับเจมี่ (Aaron Taylor-Johnson จากหนัง ‘Nosferatu’) ผู้เป็นพ่อของสไปก์ (Alfie Williams จากซีรีส์ ‘His Dark Materials’) ลูกชายวัยสิบสอง ที่เลือกจะพากันออกจากเกาะมุ่งสู่แผ่นดินใหญ่เพื่อเข้าร่วมพิธีการเปลี่ยนผ่านและฝึกฝนเขาให้เก่งกล้าในการรับมือกับฝูงซอมบี้
รีวิวหนัง ’28 ปีให้หลัง เชื้อเขมือบคน’
สำหรับคนชื่นชอบหนังซอมบี้ คงจะรู้ว่า ’28 Days Later’ หนังภาคแรกในปี 2002 คือจุดที่เปลี่ยนให้ซอมบี้ไม่ใช่ผีดิบที่เคลื่อนไหวเชื่องช้าน่าเบื่ออีกต่อไป หนังจากผู้กำกับเลื่องชื่อ แดนนี่ บอยล์ ปังจนสามารถไปต่อในภาคสอง ’28 Weeks Later’ แต่น่าเสียดายที่การแตกคอกับ อเล็กซ์ การ์แลนด์ แห่ง ‘Civil War’ ทำให้โปรเจกต์ภาคสามหยุดชะงัก ประกอบการเข้ามาซื้อฟอกซ์ของดิสนีย์ ภาคใหม่เลยยังไม่เกิดสักที เกือบจะมี “ยี่สิบแปดเดือนให้หลัง” แล้ว แต่พอเวลามันล่วงเลยมานานทำให้ภาคสามกลายเป็นปีไปแทน
แต่ได้ข่าวมาว่า หนังภาคนี้ไม่ใช่แค่หนังภาคที่สาม แต่เป็นภาคแรกของไตรภาคใหม่ เพราะฉะนั้น นี่คงเป็นการเล่าเรื่องเพื่อปูทางไปพร้อมๆ กัน
ความน่าสนใจของหนังซอมบี้จากแดนนี่ บอยล์ ที่ใครๆ ก็ไม่อาจมองข้าม นั่นคือ เรื่องงานภาพ ภาคนี้ใช้ไอโฟน 15 โปรแมกซ์ถ่ายพร้อมกัน 20 เครื่อง (แต่ไม่ได้ถ่ายด้วยไอโฟนทั้งเรื่องหรอกนะ) ภาพจึงออกมาดูแปลกตาไปจากหนังเรื่องอื่น ขณะเดียวกันก็ได้ภาพจากหลากหลายมุมเอามาตัดต่อเข้าด้วยกัน และฉายภาพความรุนแรงออกมาได้ถูกใจคอหนังซอมบี้
ภาคนี้ เล่าถึงโลกที่ล่มสลายหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่เปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นซอมบี้ภายในไม่กี่วินาที แต่มันผ่านมานานราว 20 ปี เชื้อย่อมมีการกลายพันธุ์ ทำให้ซอมบี้บางส่วนมีความฉลาด ทำงานกันเป็นกลุ่ม ตัวโต แถมยังโคตรโหด ซึ่งทำให้รับมือยากขึ้น ส่งผลให้สร้างสถานการณ์ที่น่ากลัวและชวนลุ้นตื่นเต้นได้ยิ่งกว่าเดิม
อาวุธในมือพ่อลูกเป็นธนูที่มีข้อจำกัดบางด้าน แต่ก็เปิดให้สามารถสร้างช็อตระทึกได้ดี แดนนี่เลือกให้เทคนิคที่ทำให้ความรุนแรงดูเท่ได้ซะงั้น บวกกับการใช้ซาวด์เพลงประกอบ พาคนดูลุ้นกันสุดตัว ต้องบอกว่า ใครเป็นคอหนังซอมบี้ต้องชอบภาคนี้สุดๆ เลยล่ะ
แต่ภาคนี้ ก็ไม่ได้เล่าแต่เรื่องล่าและหนีของสองพ่อลูกกับเหล่าซอมบี้แค่เท่านั้นนะ ด้วยความที่ที่มาของพล็อตเป็นเรื่อง Brexit ไอเดียหนังมันจะมีความอังกฤษที่คล้ายโดดเดี่ยวตัวเอง ระหว่างเล่าเรื่องของการเดินข้ามไปยังแผ่นดินใหญ่ หนังก็แทรกช็อตอดีต(จากหนังเก่าเรื่องหนึ่ง)เข้ามา พาให้รู้สึกฮึกเหิมแบบแปลกๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือ หนังภาคนี้ใส่ความเป็นมนุษย์เข้ามาพอสมควร เล่าเรื่องดราม่าได้อย่างอิน อาจดูแปลกตานิดหน่อยเพราะปกติหนังซอมบี้ไม่ค่อยใส่จะเล่าอะไรดราม่าเชิงปรัชญาอะไรแบบนั้น
อาจมีคนที่ขัดใจกับพฤติกรรมของหนุ่มน้อยอยู่บ้าง แต่การมาของ ดร.เอียน เคลสัน ที่รับบทโดย เรล์ฟ ไฟน์ส (จากหนัง ‘The Menu’ และ ‘The Dig’) หมอผู้มีความคิดมนุษย์นิยมที่ยังอยู่รอดบนเมนแลนด์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังสร้างวิหารกระดูกจะกลายเป็นภาพจำของคอหนังไปอีกยาวนาน เช่นเดียวกับการแสดงที่โคตรดีของ โจดี้ โคเมอร์ แม่ของเด็กน้อยที่ป่วยหนักจนบางครั้งก็ออกอาการเพ้อ สองคนทำให้หนังเรื่องนี้เป็นมากกว่าหนังเอาตัวรอดจากดงซอมบี้
อย่างไรก็ดี หนังภาคสามเรื่องนี้ก็ยังเพิ่มหลากหลายในเชิงอรรถรสในการรับชม เพราะมันมีช่วงคอมเมดี้เข้ามาให้คนดูหัวเราะกันอีกด้วยนะ แถมยังตอกย้ำความโดดเดี่ยวจากโลกภายนอกเข้ามาอีกต่างหาก
ก่อนจะปิดท้ายด้วยไอเดียบางอย่างที่น่าจะถูกเล่าถึงในภาคถัดไป ซึ่งก็ไม่รู้หรอกว่า จะออกมาเล่านอกเกาะอังกฤษกันได้หรือยัง แต่ไม่ว่ายังไง ก็ยังรอคอยและติดตามกันอยู่ดีแหละ
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | 28 Years Later / 28 ปีให้หลัง เชื้อเขมือบคน |
กำกับ | Danny Boyle |
เขียนบท | Danny Boyle, Alex Garland |
แสดงนำ | Jack O’Connell, Aaron Taylor-Johnson, Ralph Fiennes, Jodie Comer |
แนว/ประเภท | สยองขวัญ, ระทึกขวัญ |
เรท | R |
ความยาว | 115 นาที |
ปี | 2025 |
สัญชาติ | สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา |
เข้าฉายในไทย | 19 มิถุนายน 2025 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | Columbia Pictures, British Film Institute (BFI), Decibel Films, DNA Films |
คะแนนรีวิวหนัง 28 ปีให้หลัง เชื้อเขมือบคน
พล็อตและบท - 7.7
การแสดง - 8
การดำเนินเรื่อง - 7.7
เพลงและดนตรีประกอบ - 8
การถ่ายภาพและเทคนิคพิเศษ - 7.7
7.8
28 Years Later
กลับมาแล้วกับหนังซอมบี้ที่ทุกคนจดจำ ผลงานจากผู้กำกับ แดนนี่ บอยล์ ที่กลับมาร่วมมือกับมือเขียนบท อเล็กซ์ การ์แลนด์ อีกครั้ง สร้างเรื่องสร้างราวของอังกฤษที่เผชิญภัยร้ายซอมบี้มายาวนาน จนคนบนเกาะเริ่มมีวัฒนธรรมของตนเอง พ่อที่พาลูกชายไปล่าซอมบี้ตัวแรกในพิธีเปลี่ยนผ่าน พาเราไปเจอกับซอมบี้ที่กลายพันธุ์จนมีความหลากหลาย ซึ่งนอกจากจะได้เห็นช็อตโหดๆ ของการไล่ล่าและเอาตัวรอดแล้ว ก็ยังมีช่วงพาขำและดราม่าพาน้ำตาซึมได้อีกด้วย หนังที่ถ่ายทำด้วยไอโฟนทั้งเรื่อง พางานภาพที่ดูแตกต่างแต่เข้ากันดีกับฉากดิบๆ โหดๆ คุ้มค่าสมการรอคอยจริงๆ เลย