มีหนังเรื่องหนึ่งที่นำเรื่องจริงมาเขียนเป็นบทหนัง เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในช่วงที่เรายังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ เรื่องราวของความย้อนแย้งในดินแดนที่ความเจริญงอกงามบนความแตกต่าง คนผิวสีอาศัยอยู่ร่วมสังคมกับคนผิวขาวในวันที่พวกเขายังไม่ถูกยอมรับ ‘Green Book’ ชื่อไทย ‘กรีนบุ๊ค’ ที่เล่าเรื่องพวกนั้นออกมาได้ถึงกึ๋น
มันมีความลักลั่นย้อนแยงขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ เมื่อคนขาวที่ควรจะเป็นชนชั้นสูงในอเมริกาสมัยก่อน กลายเป็นแค่กุ๊ยผู้รับจ้างขับรถให้ไฮโซผิวสี ผลงานจากเรื่องจริงที่มีข่าวว่าคงหยิบมาบิดเบือนความจริงไปพอประมาณ
แต่ถ้าสนใจแต่เรื่องราวในหนัง มันมีความงดงามอยู่ในนั้นนะ
เรื่องย่อหนัง ‘Green Book’
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุค 60’s ที่ชาวอเมริกาเชื้อสายแอฟริกันยังไม่ถูกยอมรับ แถมยังถูกจัดอยู่ในชนชั้นแรงงานอีกต่างหาก ถูกคนขาวเหยียดอย่างออกนอกหน้า ร้านค้า คลับ และโรงแรมต่างๆ ถึงขนาดแยกลูกค้ากันไปเลยว่า จะรับเฉพาะลูกค้าที่เป็นคนผิวสีหรือไม่
แต่ในยุคนั้น กลับมีคนผิวสีคนหนึ่งที่ร่ำรวยอยู่บนกองเงินกองทอง เขาคือ ดร. ดอน เชอร์ลี (Mahershala Ali) เขาประกอบอาชีพเป็นนักเปียโนในวงทรีโอ และเมื่อเขาต้องการจะเดินสายไปตามเมืองต่างๆ เป็นเวลาราวสองเดือน เขาก็ต้องการคนที่จะขับรถพาเขาไปตลอดทริป
ประจวบเหมาะกับที่กระทาชายนายหนึ่ง นามว่า โทนี่ ลิป (Viggo Mortensen) กำลังว่างงานจากการที่คลับที่เขาทำหน้าที่จัดการด้านความปลอดภัยต้องหยุดปรับปรุงเป็นเดือนๆ ความปากกัดตีนถีบต้องหาเงินจุนเจือครอบครัว ในที่สุด เขาก็เลือกจะรับงานนี้แม้ว่าโดยใจจริงแล้ว เขาเป็นคนผิวขาวที่ไม่ได้ชื่นชอบคนผิวสีเอาเสียเลย
การเดินทางครั้งนี้จะทำให้ชายสองคนที่ต่างกันทุกสิ่ง ตรงข้ามกับทุกอย่างที่เป็นเหมือนภาพลักษณ์ของคนในสมัย ต่างจะได้เรียนรู้กันและกัน
รีวิวหนัง ‘กรีนบุ๊ค’
ถ้าคุณไม่คุ้นกับชื่อผู้กำกับ Peter Farrelly ผมจะบอกว่า เขาคือชายผู้ที่กำกับหนังคอมิดี้อย่าง ‘Dumb and Dumber’, ‘There’s Something About Mary’ ที่ดังมากๆ ในไทยสมัยก่อน ส่วนผลงานหลังๆ ดูเหมือนจะไม่ค่อยรุ่งสักเท่าไหร่ ก็น่าเชื่อเหมือนกันที่จู่ๆ เขาก็หันมาทำหน้าตลกผสมดราม่า แถมมีความจริงจังผสมอยู่มากหน่อย
แต่ดูแล้ว ก็ไม่ทิ้งความตลกขำขันตามสไตล์ของตัวเอง
แถมนักแสดงอย่าง Viggo Mortensen และ Mahershala Ali เล่นเข้าขากันได้ดี มีช็อตฮาๆ ให้ได้ขำกลิ้งแทรกอยู่หลายหน กลายเป็นเคมีเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
หนังมีความเล่าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน พาให้เรารู้จักกับ โทนี่ ลิป ผู้ใช้แต่อารมณ์และความรุนแรงในการแก้ปัญหา แต่ก็ทำให้พบว่า การเดินทางคู่กันไปกับดร. เชอร์ลี ต้องใช้อะไรหลายๆ อย่างที่ตัวเขามี เพื่อก้าวข้ามผ่านไปแต่ละวัน แต่ละสถานที่ และแต่ละสถานการณ์ มันต้องใช้ทักษะที่ได้มาจากประสบการณ์ส่วนตัวของโชเฟอร์คนนี้จริงๆ แหละ แต่ว่าก็นะ การแก้ไขปัญหาของความเหยียดผิวเหยียดชนชั้น มันคงจะได้แต่กำลังไม่ได้ทั้งหมด
และโทนี่ต้องฝึกที่จะใช้วิธีอื่นๆ ในการรับมือกับปัญหาเหล่านี้ด้วย
หลายคนที่ยังไม่ได้ดู อาจจะไม่เข้าใจชื่อเรื่อง “กรีนบุ๊ค” เท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเรื่องราวของคนไฮโซผิวดำ กับโชเฟอร์ที่เป็นผิวขาว นี่มันจะไปเกี่ยวข้องกับหนังสือสีเขียวอย่างไร มันเป็นหนังสือที่รวบรวมรายชื่อของโรงแรมและร้านอาหารที่เปิดรับคนผิวสีเข้าไปใช้บริการครับ การเดินทางไปต่างเมืองของคนผิวสีจำต้องพึ่งหนังสือเหล่านี้
และการมาเป็นโชเฟอร์ให้คนผิวสีก็ย่อมต้องศึกษาคู่มือนี้เอาไว้ครับ
ขณะที่การมองกลับมาที่ปัญหาของ ดร. ดอน เชอร์ลี เขาเป็นคนผิวสีที่ร่ำรวย แตกต่างอย่างสุดขั้วกับภาพลักษณ์ของผิวสีในช่วงเวลานั้น พวกเขาเป็นชนชั้นล่างในสังคม เป็นได้แค่คนรับใช้ตามไร่นาของเจ้าของที่เป็นคนผิวขาว การมีคนผิวสีสักคนที่กระโดดขึ้นมาเป็นคนร่ำรวย ใช้ชีวิตหรูหรา อาจดูเป็นความหวังให้กับคนที่เหลือก็จริง แต่สภาพที่เป็นจริง ดร.เชอร์ลี กลายเป็นคนที่คนผิวสีเองก็รู้สึกเป็นตัวประหลาด ขณะที่คนผิวขาวเองก็ไม่ได้ยอมรับ ดอกเตอร์ต้องดำรงชีวิตเป็นครึ่งๆ กลางๆ
เข้าพวกกับฝั่งไหนไม่ได้เลย กลายเป็นคนโดดเดี่ยวโดยสมบูรณ์
เราจึงไม่รู้ว่า ชีวิตของคนผิวสี หรือคนแบบด็อกเตอร์แบบไหนที่น่าเห็นใจกว่ากัน ปัญหาของสังคมที่มีมากกว่าการแบ่งแยกชนชั้น แม้แต่ในชนผิวขาวด้วยกัน ก็อาจพบชนชั้นระดับบางที่ปรากฏอยู่ข้างใน ในบรรดาชนผิวขาวที่วางตนเหนือกว่าชนผิวสีในทุกด้าน แต่ชนผิวขาวบางคนก็ยังต้องดิ้นรนทำทุกวิถีทางเพื่ออยู่รอดในสังคมที่คนขาวเป็นใหญ่
ในความรู้สึกผม รู้สึกได้ว่า Viggo Mortensen ค่อนข้างจะได้บทที่เล่นได้ทุกๆ อย่างมากกว่า Mahershala Ali อยู่เล็กน้อย ทั้งบทที่ทำให้ใช้ความสามารถทางการแสดงสร้างความกวนตืน แสดงความเกรี้ยดกราด แถมยังได้บทที่ชวนซึ้งๆ ทว่าผมก็รู้สึกชอบการแสดงของฝ่ายหลังมากกว่าเรื่องก่อนๆ
ทั้งช่วงเวลาของหนังเรื่องนี้ อาจจะมีความเครียดปรากฏอยู่ ด้วยความจริงจังของชนชั้นที่แตกต่างและมีหลายระดับ แต่ระหว่างทางก็แทรกด้วยมุกฮาที่ขยี้แล้วขยี้อีก ชวนฮาได้ตลอดๆ จนคิดว่าจะไม่มีช็อตที่สะเทือนใจแล้ว แต่ในที่สุด ก็มาจนได้ และก็คิดไว้ในใจแล้วว่า ต่อให้เรื่องจริงจะแตกต่างไปบ้างจะเรื่องในหนัง
แต่ก็รู้สึกชอบหนังไปแล้วจนไม่อาจให้คะแนนแตกต่างไปจากนี้ได้
ชื่อภาพยนตร์: Green Book / กรีนบุ๊ค
ผู้กำกับภาพยนตร์: Peter Farrelly
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Nick Vallelonga, Brian Hayes Currie, Peter Farrelly
นักแสดงนำ: Viggo Mortensen, Mahershala Ali, Linda Cardellini
ความยาว: 130 นาที
ปี: 2018
แนว/ประเภท: Biography, Comedy, Drama, Music
อัตราส่วนภาพ: 2.00 : 1
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
เรท: ไทย/, MPAA/PG-13
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 27 ธันวาคม 2561 (รอบพิเศษ), 3 มกราคม 2562 (ฉายจริง)
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Participant Media, DreamWorks, Amblin Partners
กรีนบุ๊ค
Green Book - 10
10
Green Book
ทั้งช่วงเวลาของหนังเรื่องนี้ อาจจะมีความเครียดปรากฏอยู่ ด้วยความจริงจังของชนชั้นที่แตกต่างและมีหลายระดับ แต่ระหว่างทางก็แทรกด้วยมุกฮาที่ขยี้แล้วขยี้อีก ชวนฮาได้ตลอดๆ จนคิดว่าจะไม่มีช็อตที่สะเทือนใจแล้ว แต่ในที่สุด ก็มาจนได้ และก็คิดไว้ในใจแล้วว่า ต่อให้เรื่องจริงจะแตกต่างไปบ้างจะเรื่องในหนัง แต่ก็รู้สึกชอบหนังไปแล้วจนไม่อาจให้คะแนนแตกต่างไปจากนี้ได้
3 คอมเมนต์