ผ่านกันไป 2 ภาคแล้วนะครับ สำหรับจักรวาลของหนังเรื่องนี้ที่เจือปนด้วยการฆ่า ตัวละครเอกเก่งกล้าด้านวิชาอาคม บทหนังที่เต็มไปด้วยการเชือดเฉือนและการฉ้อฉล เจ้าขุนมูลนายต่างทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน การเอาตัวรอดของผู้คนประเภทต่างๆ ท่ามกลางสภาวะบ้านเมืองที่เลวร้าย ผู้คนอดอยากปากแห้งและต้องทำทุกทางเพื่อปากท้องโดยไม่ต้องสนใจความดีเลวถูกผิด ใช่แล้วแหละ มันคือจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์ไทย ที่กลายเป็นหนังไตรภาคและนี่คือ ‘ขุนพันธ์ 3’ ภาคที่จะเป็นบทสรุปนั่นเอง
นี่คือภาคที่สามของจักรวาลขุนพันธ์ ผลงานจากผู้กำกับเลื่องชื่อ ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่ผู้คนร่ำลือ คนที่สร้างผลงานภาพยนตร์มามากมาย ตั้งแต่ ‘ลองของ’ ในปี 24548, ‘ไชยา’, ‘เฉือน’, ‘อันธพาล’, ‘Take Me Home : สุขสันต์วันกลับบ้าน’ มาจนถึง ‘ขุนแผน ฟ้าฟื้น’ หนังที่สร้างทีหลัง ‘ขุนพันธ์’ ภาคแรกเสียอีก (แต่ได้เข้าฉายก่อน) นอกจากนี้ ยังมีผลงานการเขียนบทหนังและละคร รวมทั้งงานแสดงอีกมากมาย เขาสั่งสมทั้งความรู้สึกชื่นชมยอมรับของผู้ชมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
และกลายเป็นผู้กำกับหนังไตรภาคซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์ไทยไปในวันนี้
เรื่องย่อหนัง ‘ขุนพันธ์ 3’
เหตุการณ์ล่วงเลยมาถึง ปี พ.ศ. 2493 ที่บ้านเมืองยังคงได้รับผลกระทบจากภัยสงคราม ก่อให้เกิดสภาวะข้าวยากหมากแพง เสือร้ายยังคงมีอิทธิพลไปทั่วทุกหย่อนหญ้า ส่วนข้าราชการก็ยังอุดมไปด้วยความฉ้อฉล นายตำรวจมือปราบคงกระพันฝีมือดีอย่าง ขุนพันธ์ (อนันดา เอเวอริงแฮม จากหนังเรื่อง ‘อินทรีแดง’, ‘ชัมบาลา’ และ ‘ชั่วฟ้าดินสลาย’) ที่คิดจะปลีกตัวไปอยู่อย่างสงบสุขกับครูนุ่น (พลอย ชิดจันทร์ จากหนังเรื่อง ‘รับน้องสยองขวัญ’ และ ‘สวยลากไส้’) ต้องถูกดึงตัวกลับมาเพื่อปราบสองเสือร้ายอาคมกล้า เสือมเหศวร (มาริโอ้ เมาเร่อ จากหนังเรื่อง ‘พี่มากพระโขนง’ และ ‘ขุนแผน ฟ้าฟื้น’) และเสือดำ (โตโน่ ภาคิน จากหนังเรื่อง ‘ส้ม ปลา น้อย’ และ ‘Love Syndrome รักโง่ ๆ’) ทำให้เขากลับมาเผชิญกับกับสมรภูมิร้ายนามว่า แก่งกินศพ ลำน้ำอันเชี่ยวกรากที่มีจระเข้ยักษ์อาศัยอยู่
ทว่า การกลับมาของเขาก็คล้ายจะไม่เหมือนในครั้งก่อน เมื่ออาคมขลังในตัวเริ่มสั่นคลอน การต่อกรกับเหล่าร้ายจึงต้องสู้กับเวลา และอาจเป็นไปได้ว่า มือปราบหนังเหนียวอย่างขุนพันธ์อาจต้องกลายเป็นผู้ถูกล่าเสียเอง
รีวิวหนัง ‘ขุนพันธ์ 3’
แม้ผู้กำกับอย่าง พี่โขม จะเคยบอกว่าเรื่องราวของขุนพันธ์นั้นสามารถนำมาสร้างเป็นหนังได้เป็น 10 ภาค แต่เมื่อถึงเวลาจริง มันก็ได้กลายเป็นหนังไตรภาคที่เขียนขึ้นจากเรื่องของชายคนหนึ่งที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์อย่าง พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช มาเสริมแต่งเรื่องราวแฟนตาซีเหนือจริงเพื่อเพิ่มให้สนุกตื่นเต้นเข้าไป
หนังซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์ไทยที่เล่าเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคม
ด้วยพล็อตของการหักเหลี่ยมเฉือนคมของตำรวจและเหล่าโจรที่มีคาถาอาคมท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เพราะภัยสงคราม เมื่อมันดำเนินมาถึงภาคที่สาม หนังพยายามจะบอกเล่าว่า เมื่อวันหนึ่งที่ความคงกระพันถูกท้าทาย ภารกิจสุดท้ายกำลังมาถึง ขุนพันธ์จะตัดสินใจทำสิ่งใด
กับตำแหน่งหน้าที่ที่ผูดติดไว้กับคำว่า ‘รักษาความยุติธรรม ทำเพื่อประชาชน’ ขณะเดียวกันก็ถูกตั้งข้อสงสัยว่าแท้ที่จริงเขาก็แค่เครื่องมือของผู้มีอำนาจเท่านั้นหรือเปล่า ทั้งในภาคนี้ หนังเลือกจะเล่นเล่าเรื่องบริบททางการเมือง ความเชื่อความครัทธาของผู้คน ไม่พอ หนังยังตั้งคำถามเรื่อง ‘ความดี’ ว่านิยามของมันคืออย่างไหนกันแน่อีกด้วย
ตัวละครใหม่ น่าสนใจ ในภาคนี้
ภาคที่แล้วมีเสือหน้าใหม่เข้ามาสมทบ ภาคนี้ก็เช่นกัน มีทั้งเสือมเหศวร (มาริโอ้ เมาเร่อ) จอมโจรร้อยหน้า หัวหน้ากลุ่มโจรเชิ้ตขาว ผู้ที่มีทั้งความฉลาด ว่องไว แม้เขาจะไม่ได้มีอาคมอะไรเท่ากับเสือคนอื่น แต่ก็มีคาถาเบี่ยงกระสุน ทำให้แคล้วคลาดจากความตายได้อยู่เสมอ เขายอมทำตัวเป็นคนนอกกฎหมายเพราะเกลียดชังความเหลื่อมล้ำในสังคม ขณะเดียวกันก็มีคุณธรรมในจิตใจไม่น้อยไปกว่าขุนพันธ์ เขามีคนข้างกายเป็นสาวสวยที่ชื่อ สาวิตรี (ฟ้า ษริกา สารทศิลป์ศุภา) หมอสาวที่มีความคิดแบบคนรุ่นใหม่ คนที่คอยช่วยเหลือรักษาคนไข้ในแหล่งซ่องสุมลับของเสือมเหศวร
ส่วนเสือดำ (โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์) เสือฟันดำผู้มีความคิดบิดเบี้ยวในจิตใจ มีจิตใจที่โหดเหี้ยมและดุดัน แถมยังเกลียดตำรวจเข้าไส้ เขาคือผู้ที่มีความคิดขัดแย้งกับเสือมเหศวรอยู่เสมอ เรียกว่าเป็นด้านตรงข้ามกันก็แทบจะว่าได้ นอกจากนี้ นายทหารอย่างร้อยเอกทัพเทพ (ภูมิภัทร ถาวรศิริ) เขาเป็นตัวละครใหม่ที่ไม่เชื่อในไสยศาสตร์ หากเชื่อในยุทธวิธี แต่ก็ชวนประหลาดใจอยู่หน่อยๆ ว่าเขาอึดเหลือหลาย ยังกับคนมีของอะไรประมาณนั้น
ว่าด้วยบท โปรดักชัน และการแสดงกันดีกว่า
ที่จริง หนังภาคนี้มีชื่อภาคเป็นของตนเองด้วย ถ้าไปดูในโรง ก็จะพบว่าหนังมีชื่อเต็มๆ ว่า ‘ขุนพันธ์ 3: วันพิพากษา’ หรือ ‘Khun Pan 3: Judgement Day’ จนคิดไปว่า พี่เค้าคงจะล้อหนังคนเหล็กอยู่เป็นแน่ ขณะที่บทหนังยังคงเต็มไปด้วยเรื่องราวที่เดินหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง บทสนทนาบางครั้งก็น้อยนิด จากนั้นก็ต่อด้วยฉากบู๊แอ็กชันกันแล้ว หนังพาไปเจอหลากหลายโลเกชัน ในระหว่างเรื่องราว อาจมีบ้างที่รู้สึกว่า บางฉากมืดเกินไป กล้องถ่ายแอ็กชันพะบู๊ของตัวละครได้ไม่ชัดเจน หรือบางช็อตที่ดูตลก ไม่สมบูรณ์ พวกนี้มีแทรกอยู่เป็นระยะ และการตัดต่อที่พอเห็นการสะดุดอยู่บ้าง แต่โดยรวมก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยถึงความบันเทิงจากโปรดักชันที่เล่นใหญ่ ผสานกับดนตรีประกอบที่ชวนเร้าใจผู้ชมไม่หยุดไม่หย่อน
กับหนังที่ยาวถึง 156 นาที หนังหยิบเอาความฉ้อฉลของคนมีอำนาจมาเล่นอีกครั้ง ตั้งคำถามถึงความถูกผิดอีกหน ทำให้ที่ตูมตามตลอดทั้งเรื่องมีความหนักแน่นไม่แพ้ภาคก่อนๆ ขณะที่พาร์ทแฟนตาซีก็ไปสุดมากเช่นกัน ด้วยคาแรกเตอร์เหนือจริงที่เหมือนจะอ้างอิงจากหนังเรื่องโน้นเรื่องนี้ แล้วจับมายำผสมกัน [อาจงุนงงว่ามาจากไหน มาได้ยังไงบ้าง แต่ก็เอาเถอะ] แถมบางหนังบางส่วนก็พาให้นึกถึงหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่รวมพลังสู้ได้อีกต่างหาก ไม่พอ ยังแอบมีเซอร์ไพรซ์ที่ทำให้คนทั้งโรงปรบมือโห่ร้องยินดี ยิ่งคนที่ดูมาทุกภาคคงยิ่งมีอารมณ์ร่วมหนัก จัดเป็นหนังที่ให้ความบันเทิงขั้นสุดอยู่เหมือนกัน
ในด้านนักแสดงนั้น ก็ต้องถือว่าแต่ละคนต่างก็พกพาความตั้งใจมาเต็มที่ ถ่ายทอดบทบาทที่ตนได้รับกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นอนันดาที่เป็นตัวหลัก หรือมาริโอ้ โตโน่ ฟ้า แม้กระทั่งเอม ภูมิภัทร
บทสรุป
แม้ว่าหนังจะจัดมาทั้งความสนุก ความมัน โปรดักชันเล่นใหญ่ ดวลปืน-ระเบิดสนั่น พร้อมกับความเซอร์ไพรซ์จนต้องปรบมือ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เนื้อแท้ของจักรวาลหนังซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์ไทยเรื่องนี้ มีความตั้งใจจะขีดเขียนในเรื่องของปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ที่ชาวบ้านถูกเพิกเฉยจากรัฐ หากพวกคนมีอำนาจยังเลือกจะเอารัดเอาเปรียบ บีบให้คนยากจนต้องไร้หนทางออกตั้งแก๊งโจรปล้นคนมีมาแบ่งคนจน ผู้คนต้องช่วยเหลือกันเองเพราะพึ่งพารัฐไม่ได้แม้ในใจจะไม่ได้อยากเป็นโจรก็ตาม จนวันหนึ่ง ก็เกิดมีคนเก่งกล้าที่ลุกขึ้นมาคิดหวังจะเปลี่ยนแปลงสังคม ทว่าในระหว่างที่ผู้คนตั้งคำถามถึงความถูกต้องของสิ่งที่เขาทำ เขาเองก็ต้องเดินทางหาคำตอบด้วยตัวเองอยู่เช่นกัน
ขุนพันธ์ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีบางวันที่ผิดพลาด ไม่ได้เป็นฮีโร่ที่สมบูรณ์แบบอะไรขนาดนั้น
และแม้จะงงๆ กับฉากปิดท้ายที่แทรกมาระหว่างเครดิต เหมือนขุนพันธ์จะเป็นหนังไตรภาค แต่ที่แถมมาก็ทำให้รู้สึกว่าเขาอยากจะมีภาคต่อ โดยรวมมันคือหนังที่ให้ความบันเทิงได้เต็มขั้น มีบาดแผลบ้างระหว่างเรื่องราวที่หนักแน่นจริงจัง ใครที่รอดูอยู่คงไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | ขุนพันธ์ 3 / ขุนพันธ์ 3: วันพิพากษา / Khun Pan 3 |
กำกับ | ก้องเกียรติ โขมศิริ |
เขียนบท | ก้องเกียรติ โขมศิริ |
แสดงนำ | อนันดา เอเวอริงแฮม, มาริโอ้ เมาเร่อ, โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์, ฟ้า ษริกา สารทศิลป์ศุภา, ภูมิภัทร ถาวรศิริ, พลอย ชิดจันทร์ ห่ง, ฟิลลิปส์ ทินโรจน์ |
แนว/ประเภท | แอ็กชัน |
เรท | |
ความยาว | 156 นาที |
ปี | 2023 |
สัญชาติ | ไทย |
เข้าฉายในไทย | 1 มีนาคม 2023 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชันแนล |
ขุนพันธ์ 3: วันพิพากษา
พล็อตและบท - 7.5
การแสดง - 7.8
การดำเนินเรื่อง - 7.5
เพลงและดนตรีประกอบ - 7.5
งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชัน - 7.8
7.6
ขุนพันธ์ 3
แม้ว่าหนังจะจัดมาทั้งความสนุก ความมัน โปรดักชันเล่นใหญ่ ดวลปืน-ระเบิดสนั่น พร้อมกับความเซอร์ไพรซ์จนต้องปรบมือ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เนื้อแท้ของจักรวาลหนังซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์ไทยเรื่องนี้ มีความตั้งใจจะขีดเขียนในเรื่องของปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม และแม้จะงงๆ กับฉากปิดท้ายที่แทรกมาระหว่างเครดิต เหมือนขุนพันธ์จะเป็นหนังไตรภาค แต่ที่แถมมาก็ทำให้รู้สึกว่าเขาอยากจะมีภาคต่อ โดยรวมมันคือหนังที่ให้ความบันเทิงได้เต็มขั้น มีบาดแผลบ้างระหว่างเรื่องราวที่หนักแน่นจริงจัง ใครที่รอดูอยู่คงไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน