รีวิวหนัง Moonfall วันวิบัติ จันทร์ถล่มโลก | ช่วยดวงจันทร์ เพื่อกอบกู้โลก!

ดูเหมือนสัปดาห์นี้ ไม่น่าจะหนังเข้าใหม่เรื่องไหนที่จะฟอร์มยักษ์และเป็นที่สนอกสนใจของผู้คนเท่ากับหนังเรื่องนี้อีกแล้ว ‘Moonfall’ ชื่อไทย ‘วันวิบัติ จันทร์ถล่มโลก’ หนังแนวภัยพิบัติที่ว่าด้วยหายนะที่มวลมนุษยชาติต้องเผชิญ เหตุเพราะดวงจันทร์เปลี่ยนแปลงแนววงโคจรเข้าใกล้โลกเข้ามาทุกที จะมีที่ไหนปลอดภัย แรงดึงดูดอันมหาศาลจะทำให้ทุกสิ่งถูกฉีกกระชาก แล้วพวกเราจะเหลือรอดได้งั้นรึ?

ผลงานหนังเรื่องใหม่ของเจ้าพ่อหนังภัยพิบัติอย่าง Roland Emmerich ผู้ที่เคยทำหนังอย่าง ‘ID4 สงครามวันดับโลก’, ‘Independence Day: Resurgence’, ‘The Day After Tomorrow วิกฤตวันสิ้นโลก’,​ Godzilla (1998) และ ‘2012 วันสิ้นโลก’ รวมทั้งหนังสงครามอย่าง ‘Midway’ และ ‘The Patriot’ ครั้งนี้ เขามาพร้อมกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ สร้างเหตุให้ดวงจันทร์เคลื่อนเข้ามาชนโลก และมีตัวละครที่มาพร้อมกับภารกิจสุดยิ่งใหญ่ กอบกู้โลก รักษามวลมนุษยชาติไม่ให้ต้องสูญสิ้น แถมยังเปิดเผยความลับ…

ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังดวงจันทร์!

เรื่องย่อหนัง ‘Moonfall’

20 กรกฎาคม 1969 ผู้คนต่างรับรู้ถึงความสำเร็จของมวลมนุษยชาติ นาซ่าทำภารกิจสุดยิ่งใหญ่ในการเดินทางของอะพอลโล 11 เพื่อสำรวจดวงจันทร์ แต่เหตุที่สัญญาณขาดหายไป 2 นาที ไม่มีใครล่วงรู้ความลับเบื้องหลังของมัน

เพราะภารกิจที่ล้มเหลวทั้งยังมีเพื่อนนักบินอวกาศตาย ทำให้ชีวิตของ ไบรอัน ฮาร์เปอร์ (Patrick Wilson จากหนังเรื่อง ‘Insidius’, ‘Watchmen’ และ ‘Aquaman’) ต้องวุ่นวายและเละเทะอยู่กับการสืบสวนหาความผิด ปัจจุบัน เขาค้างค่าเช่าอะพาร์ตเมนต์แล้ว 3 เดือน ใกล้จะถูกไล่อยู่รอมร่อ ก็พอดีกว่า หายนะของมวลมนุษยชาติกำลังจะช่วยเขาเลี่ยงค่าบ้าน

อีกด้านหนึ่ง โจ (Halle Berry จากหนังเรื่อง K’idnap’, ‘Gothika’ และ ‘X-Men: Days of Future Past’) นักบินอวกาศอีกคนที่เคยร่วมอยู่ในภารกิจเดียวกัน ก็กำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ เธอตกอยู่ท่ามกลางการบริหารงานในองค์กรอวกาศใหญ่ยักษ์อย่างนาซ่าที่มีแต่ผู้ชาย ในวันที่ เคซี เฮาส์แมน (John Bradley หนังเรื่อง ‘Marry Me’ และซีรีส์เรื่อง ‘Game of Thrones’) คาบข่าวมาบอกว่าตนพบเห็นความผิดปกติในวงโคจรของดวงจันทร์ และเมื่อนาซ่าพบเห็นว่าเป็นเรื่องจริง ภารกิจอันยิ่งใหญ่แห่งการกอบกู้โลกตกมาอยู่ในมือของเธอ

ดวงจันทร์ขยับเข้าใกล้โลกมากขึ้นทุกที อีกไม่นานมันจะเคลื่อนเข้ามาชนโลก ภารกิจเสี่ยงตายกำลังจะเกิดขึ้น ทั้งสามขึ้นยานอวกาศในตำนานเพื่อกอบกู้ดวงจันทร์ ซึ่งนั่นหมายถึงการกอบกู้โลก ท่ามกลางคำสั่งอพยพผู้คนครั้งใหญ่ พวกเขาจะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ

หาไม่แล้ว อาจไม่หลงเหลือมนุษย์บนโลกนี้อีกต่อไป

รีวิวหนัง ‘วันวิบัติ จันทร์ถล่มโลก’

มหันตภัยถล่มโลกครั้งที่ผ่านๆ มา มีทั้งภัยจากสภาพอากาศ จากมนุษย์ต่างดาว จากคำทำนายบนปฏิทินมายัน วันนี้ มันจะเกิดจากดวงจันทร์ ดาวบริวารของโลกที่โคจรรอบดาวเคราะห์ของเรามานานไม่เคยเปลี่ยนแปลง วันนี้ กลับเปลี่ยนวงโคจรเข้ามาใกล้โลกมากขึ้น วงโคจรอันผิดประหลาดนี้ถูกค้นพบโดยชายคนหนึ่งที่หนังเปิดตัวว่าเขาทำงานเป็น “พนักงานทำความสะอาด”

ขณะที่ตัวเอกอีกสองคน เคยร่วมงานกันและเกิดอุบัติเหตุมีเพื่อนร่วมงานเสียชีวิต สองคนในวันนี้มีชีวิตที่แตกต่าง และเผชิญปัญหากันคนละอย่าง หนึ่งคือ นักบินอวกาศชายที่ต้องดิ้นรนอยู่ท่ามกลางการสอบสวนเอาผิด ชีวิตของเขาวุ่นวาย ค้างค่าเช่าไม่พอ ยังต้องวุ่นช่วยลูกชายให้รอดจากคุก อีกหนึ่ง คือ นักบินอวกาศหญิงที่วันหนึ่งก็ได้ขึ้นเป็นรักษาการผู้นำองค์กรนาซ่า ที่ต้องรับมือกับโลกที่ชายเป็นใหญ่

และโรแลนด์ เอมเมอริช ดึงคนทั้งสามมาทำภารกิจร่วมกัน

อันที่จริง หนังของโรแลนด์ก็มักตัวละครแนวๆ นี้มาเป็นตัวเอกอยู่แล้ว ตัวละครที่เผชิญความตกต่ำ ตัวละครที่เก่งกาจอัจฉริยะแต่พูดอะไรไม่มีใครฟัง และตัวละครที่มีครอบครัว วันนี้ แค่เปลี่ยนปัญหาใหม่ กลายเป็นดวงจันทร์ที่เป็นต้นเหตุแห่งหายนะ

หนังไซไฟที่อ้างอิงทฤษฎีสมคบคิดเรื่องดวงจันทร์

หนังย้อนไกลไปถึงภารกิจสำรวจดวงจันทร์ของโครงการอะพอลโล เมื่อครั้งปี 1969 ที่อะพอลโล 11 ไปเยือน เหตุสัญญาณขาดหาย 2 นาทีถูกหยิบยกมาขีดเขียนเป็นเรื่องเป็นราว ว่าแท้จริงแล้ว องค์การนาซ่ารู้ความลับบนดวงจันทร์และปิดบังผู้คนทั้งโลกไว้ ‘ทฤษฎีสมคบคิด’ ถูกนำมาใช้อีกครั้งในหนังบล็อกบัสเตอร์ของผู้กำกับชาวเยอรมันนาม Roland Emmerich

และครั้งนี้ หนังภัยพิบัติของเขาเล่ามโนไปไกลมาก แต่ก็อ้างอิงจากพื้นฐานแนวคิดที่มีคนคิดกันจริงๆ

ยังคงแนวทางหนังโลกาวินาศแบบโรแลนด์

‘วันวับัติ จันทร์ถล่มโลก’ ยังคงมีโครงสร้างแบบที่คุ้นเคยมา นอกจากทฤษฎีสมคบคิดแล้ว ก็ยังให้บทเด่นกับตัวละครที่ไม่ค่อยมีคนเห็นค่า ให้ได้ทำภารกิจที่สำคัญ ทั้งยังให้ความสำคัญกับเรื่องครอบครัว นายแพทถือว่า ครบสูตรความเป็นหนังภัยพิบัติวินาศโลกในแบบของโรแลนด์เลยแหละ

และแน่นอนว่า เมื่อความทะเยอทะยานของหนังมีสูง ช่องโหว่ก็ย่อมจะใหญ่มากตามไปด้วย อาจไม่ถึงขั้นเชื่อตามได้แต่ว่าก็ต้องชื่นชมความพยายามในการคิดหาพล็อตและความเชื่อมโยงเพื่อสร้างเรื่องราวหายนะให้บังเกิดขึ้น

หนังของเขาเหมือนต้องมีภาพจำหรือฉากบังคับเข้ามาเสมอ อย่างเช่นตัวละครต้องขับรถหนีภัยพิบัติที่แทบไม่มีใครเชื่อว่าจะรอด พร้อมใส่ฉากที่มีการคาดเดากันว่า ถ้าดวงจันทร์เคลื่อนเข้ามาใกล้โลก จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง ด้านซีจีก็ค่อนข้างอลังการมากทีเดียว ผสมกับสกอร์ประกอบ เรื่องราวจึงค่อยๆ ชวนลุ้นมากขึ้นในช่วงท้าย เมื่อเรามองเห็นความจริงเบื้องหลังดวงจันทร์ที่ไม่เคยล่วงรู้ ยานอวกาศอันเล็กจิ๋วของตัวเอกที่ทะยานเข้าไปภายในดวงจันทร์ที่กลายเป็นยานอวกาศขนาดมหึมา ภารกิจอันใหญ่โตที่ยากจะรอดกลับออกมา

หนังเหมือนจะมีช็อตทิ้งท้ายให้หาคำตอบต่อหลังเครดิต แต่เมื่อรอจนหมดตัวอักษรสุดท้าย กลับพบว่า “ไม่มี”

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง