วันนี้ ผมพาตัวเองไปพบกับหนังดราม่าโรแมนติกเรื่องหนึ่งครับ มันเป็นหนังที่สร้างจากนิยายดังซึ่งผมเองก็ยังไม่เคยได้อ่านหรอกนิยายเรื่องนี้ แต่เพราะความที่เห็นชื่อผู้กำกับฯ เห็นชื่อนักแสดงนำ แค่นั้นก็เพียงพอให้ผมอยากจะรู้จักหนังเรื่องนี้แบบจริงจังขึ้นเสียแล้ว และนั่นเป็นเหตุผลให้ผมลุกขึ้นมาเขียนรีวิวถึงหนังเรื่องนี้ ‘The Light Between Oceans’
หนังมีชื่อไทยสวยๆ ว่า “อย่าปล่อยให้รักสลาย” ผลงานการกำกับของ เดเรค เซียนฟรานซ์ ผู้กำกับฯ ที่ได้เครดิตมาจากหนังอย่าง ‘The Place Beyond the Pines’ และ ‘Blue Valentine’ ที่หลายคนเคยได้ดูและประทับใจมันมาก่อน ยิ่งเรื่องนี้มีนักแสดงนำคุณภาพมาร่วมงาน
ส่งผลให้ความอยากดูหนังเรื่องมีมากเลยแหละ
เรื่องย่อหนัง ‘อย่าปล่อยให้รักสลาย’
เรื่องราวที่เกิดขึ้นแถบออสเตรเลียตะวันตก เมื่อ ทอม เซอร์บอร์น (Michael Fassbender/ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์) ชายคนที่เคยเป็นอดีตทหารผู้สิ้นหวังในชีวิต เขาสมัครมาทำงานเป็นคนเฝ้าประภาคารบนเกาะแจนิส งานที่แสนโดดเดี่ยวอ้างว้างที่สุดในโลก และเป็นงานที่ไม่มีใครอยากจะทำ
โดยเฉพาะกับคนโสดไม่มีคู่ ไม่มีลูกเมีย จะยิ่งเดียวดาย
แต่ที่นั่น เขาก็ได้พบกับหญิงสาวสวยอีกคน อิซาเบล เกรย์สมาร์ก (Alicia Vikander/อลิเซีย วิกันเดอร์) หญิงสาวผู้สูญเสียน้องชายทั้งสองไปในสงคราม ความรักที่เกิดขึ้นพอกพูนจนสองคนได้แต่งงานกัน แต่นั่นยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของความวิปโยค
วันหนึ่ง ทั้งสองคนบนเกาะนั้นพบเห็นเด็กน้อยในเรือที่ลอยอย่างกลางทะเลพร้อมกับชายผู้เสียชีวิต พวกเขาเลือกที่จะเก็บเด็กไว้เลี้ยงและปิดบังเรื่องนี้เรื่อยมา เลี้ยงเด็กน้อยลูซี่อย่างลูกที่แท้จริง
ก่อนแม่ที่จริงจะรู้ว่าลูกของเธอที่หายไปยังไม่ตาย
ฮันน่าห์ (เรเชล ไวส์/Rachel Weisz) สาวสวยจากตระกูลใหญ่ที่ยังคงโศกเศร้าจากการสูญเสียทั้งลูกและสามีเมื่อหลายปีก่อน ความหวังเรืองรองขึ้นอีกครั้งเมื่อเธอได้รู้ข่าวลูกน้อย
และเธอกำลังตามหาว่า “เกรซ” ของเธออยู่ที่ไหน
รีวิว วิจารณ์หนัง ‘อย่าปล่อยให้รักสลาย’
มันคือเรื่องราวที่ดัดแปลงจากนิยายของ เอ็มแอล สเตดแมน ที่ถูกตีพิมพ์ในปี 2012 ผมไม่เคยอ่านนิยายแต่ดูจากหนัง เหมือนจะนำนิยายมาเล่าแบบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก อาจเพราะตัวนิยายก็เขียนมาดีจน ผกก. อยากจะคงให้เหมือนนิยายมากที่สุดก็เป็นได้ สิ่งที่เห็นชัดเจนจากหนังเรื่องนี้ก็เป็นงานถ่ายภาพที่ออกมาสวยงามทุกมุมมอง แม้การดำเนินเรื่องจะดูธรรมดาไปหน่อยก็ตาม
เรื่องราวดีดีที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์
พระเอกเป็นคนดูแลไฟบนประภาคาร Lighthouse คือประภาคาร และ Light ก็คือแสงไฟ พระเอกดูเป็นคนที่สิ้นหวังในชีวิต อาจเคยต้องฆ่าคนมามากมายในสงคราม ในจิตใจของเขามีแต่ความมืดมน แสงในใจของเขาดูริบหรี่ หากแต่เขากลับได้มีโอกาสดูแลแสงสว่างให้กับคนอื่น
และนางเอกก็คือคนที่เข้ามาเป็นแสงสว่างให้คนที่มืดมนอย่างเขาอีกครั้ง
ความดีในจิตใจของเขา ทำให้เขารู้ดีว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นผิด ความรู้สึกผิดที่มีมาโดยตลอด มันกัดกร่อนจิตใจให้เขายิ่งจมดิ่งอยู่กับความเศร้า
อีกจุดที่น่าจะมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด คือมุมมองของการเลือกจะเชื่อ แม้ว่าบรรทัดฐานบางอย่างมันดูแน่ชัดอยู่แล้วว่าอะไรผิดหรือถูก แต่หลายครั้ง คนเราก็มักจะติดสินผิดถูกกันด้วยเหตุผลว่ามัน “ถูกใจ” มากกว่า “ถูกต้อง” สิ่งที่จะชี้วัดว่ามัน Right หรือ Wrong มันเลยไม่ได้ถูกวัดด้วยกฎหมายหรือกฎของสังคมเสมอไป ด้วยเพราะตาชั่งที่ใช้มันไขว้เขวเช่นนั้น
อิซาเบลเลือกจะให้เหตุผลกับตัวเองว่าการเอาลูกของคนอื่นมาเป็นลูกของตัวเองนั้นถูกต้อง เธอบอกว่า “ฉันไม่ได้ทำผิดอะไร” เพราะตาชั่งของเธอมันบิดเบี้ยว แต่กับชายผู้เป็นสามีของเธอ เขามั่นคงดั่งประภาคารที่ตั้งตระหง่านคอยส่องแสงระหว่างสองมหาสมุทร แม้เขาจะรู้สึกผิดที่โอนอ่อนต่อภรรยาและปล่อยให้ความผิดมันอยู่เหนือเหตุผล เขาและอิซาเบลเลี้ยงดูลิซ่ามาด้วยความรัก
แต่เบื้องลึกนั้นเขาเจ็บปวดที่ไม่อาจทัดทานภรรยาเพื่อความถูกต้องได้
นอกจากนี้ ยังมีแนวความคิดเรื่อง Mother หรือความเป็นแม่เข้ามาอีก อิซาเบลที่เลี้ยงลิซ่ามานานหลายปี ย่อมผูกพันจนมองว่าเธอคือแม่ของลิซ่าจริงๆ แม้จะไม่ได้ให้กำเนิดมาด้วยตัวเอง ความเจ็บช้ำของการสูญเสียลูกในท้องถึงสองครั้งสองครา ทำให้คนดูอย่างเราเกิดความสงสาร เราเข้าใจจิตใจอันปวดร้าวของเธอ
แต่ก็ไม่อาจจะคล้อยตามว่าการกระทำของเธอมันถูกทำนองคลองธรรมได้
ความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านทางสายตาของทอม มันก็คงเหมือนความคิดของเราที่รู้สึกมาตลอดเรื่องว่า ทุกอย่างมันไม่ถูกต้อง แต่เรื่องราวช่วงท้ายดูจะยืดย้วยไปหน่อยกว่าจะได้เวลาของบทลงเอย
เรื่องราวที่เดินช้าเป็นเส้นตรง ผ่านงานถ่ายสวยๆ
จะด้วยความเคารพในบทประพันธ์ดั้งเดิมหรือเปล่า ผมก็มิอาจทราบได้ แต่เรื่องราวที่ดูเขียนมาได้ดีกลับถูกถ่ายทอดอย่างดูธรรมดามากในเวอร์ชั่นหนัง ‘The Light Between Oceans’ เดินเรื่องอย่างเชื่องช้าและเป็นเส้นตรง
หนังค่อยๆ เดินอย่างเป็นลำดับโดยไร้แรงกระเพื่อมในการดำเนินเรื่องอาจทำให้เกิดอาการหาวง่วงได้ แต่ผมคงไม่ยอมพลาดไปสักตอนได้หรอก
สิ่งที่น่าชื่นชมในหนัง มีสองส่วน หนึ่งคือ การถ่ายภาพนั้นสวยงามมาก จัดองค์ประกอบได้โคตรดี ดูเป็นหนังแค่มองภาพก็เพลินแล้ว
อีกส่วนหนึ่ง คือทีมนักแสดงที่เล่นกันได้ดีทุกคน โดยเฉพาะสองนักแสดงนำ Michael Fassbender และ Alicia Vikander พวกเขาทำให้เราเชื่อว่า นี่แหละคู่สามีภรรยาที่รักกันมากมายเพียงใด อลิเซียทำให้เชื่อว่าคนที่สิ้นหวังจะส่องสว่างขึ้นได้อีกครั้ง และความดีในตัวทอมนี่แหละที่ทำให้อิซาเบลสนใจในตัวเขา
พลังส่องสว่างนั้นมากพอจะทดสอบจิตใจของผู้ชมได้ว่า พวกเขาคิดเช่นไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ช่วงจบของหนังนั้นก็ให้คำตอบได้ดีว่าทุกสิ่งที่คนควบคุมแสงสว่างควรจะได้รับอะไร
หนังดีแต่เสียดายที่ถ่ายทอดมาอย่างธรรมดาเกินไป
ชื่อภาพยนตร์: The Light Between Oceans / อย่าปล่อยให้รักสลาย
ผู้กำกับภาพยนตร์: Derek Cianfrance
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Derek Cianfrance (written for the screen by), M.L. Stedman (novel)
นักแสดงนำ: Michael Fassbender, Alicia Vikander, Rachel Weisz, Florence Clery, Jack Thompson, Thomas Unger, Caren Pistorius
แนว/ประเภท: Drama, Romance
ความยาว: 133 นาที
อัตราส่วนภาพ: 2.35 : 1
เรท: ไทย/ท, USA/PG-13
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 8 ธันวาคม 2559
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย/สตูดิโอ: Heyday Films, LBO Productions, DreamWorks SKG