รีวิว The King’s Speech | อีกหนึ่งประสบการณ์การก้าวข้ามปมด้อยของตัวเอง
ในรอบสัปดาห์ ผมมักจะหาเวลาไปดูหนังในโรงอย่างน้อยสัก 1 เรื่อง เพราะไม่อาจจะไปดูได้ทุกวัน ทุกเรื่องได้ จึงต้องเลือกที่อยากดูที่สุด โดยประมวลจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งความรู้สึกตัวเองหลังดูหนังตัวอย่าง ความคิดเห็นคนรอบข้าง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ขณะที่การเป็นหนังเข้าชิงรางวัลก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่อยู่ในระบบการให้คะแนนของผม
เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง “The King’s Speech”
หนังที่เข้าชิง 12 รางวัลออสการ์ เรื่องนี้ ยั่วยวนให้อยากชมตั้งแต่มีคนพูดถึงในทวิตเตอร์ มีชื่อเข้าชิงและได้รับรางวัลหลายต่อหลายสถาบัน ต่อมาก็ได้ดูตัวอย่างในโรง โรงเดียวกับที่ผมไปดูมาวันนี้แหละ “Scala” สยามสแควร์
นี่คือ The King’s Speech ภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเรื่องจริงของกษัตริย์จอร์จที่ 6 ที่กำกับฯ โดย Tom Hooper และเขียนบทฯ โดย David Seidler
ในโลกที่ประเทศบางประเทศ ปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ยังมีระบอบกษัตริย์อยู่ หากเหลือเพียงสถาบันที่ไม่หลงเหลืออำนาจใด มีหน้าที่เพียงใช้ “เสียง” ในการพูดกับประชาชน ซื้อใจประชาชน และยังเป็นที่รักของประชาชน หน้าที่ที่เหลือให้กษัตริย์เพียงเท่านั้น “เสียง” ของกษัตริย์และราชวงศ์จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ
หากกษัตริย์ไม่อาจแม้เปล่งเสียง แล้วใครที่ไหนจะรักในกษัตริย์ผู้นั้น…
เหตุการณ์นี้เกิดในประเทศอังกฤษ หรือที่ถูกเรียกขานกันว่า สหราชอาณาจักร เมื่อกษัตริย์พระองค์หนึ่งที่เพิ่งขึ้นสู่บัลลังก์ ประสบปัญหาชะตากรรมในด้านการใช้เสียง เขาจะใช้สิ่งใดทำให้การทำหน้าที่ของกษัตริย์กลับมาสมบูรณ์ได้
The King’s Speech Movie Trailer Official (HD)
หนังเลือกจะเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ที่ทำให้เราได้รู้จักชายผู้หนึ่ง ที่ได้รับการเชื่อมั่นว่าจะได้เป็นกษัตริย์ในอนาคต แต่ในวันแรกที่ต้องพูดต่อสาธารณชน อาการ “ติดอ่าง” ที่เขาไม่เคยเอาชนะมันได้ ทำให้คิดได้ว่า ถึงเวลาต้องหาจุดเปลี่ยน
เมื่อกษัตริย์จอร์จที่ 5 (Michael Gambon) พระบิดาทรงสิ้นพระชนม์ลง และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด (Guy Pearce) ผู้ได้รับราชบัลลังก์ต่อในฐานะ กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 8 กลับเลือกที่จะเอาปัญหาส่วนตัวมาเป็นเหตุผลในการสละราชบัลลังก์ เจ้าชายอัลเบิร์ต หรือ ดยุคแห่งยอร์ค (Colin Firth) หรือชื่อที่เรียกกันในครอบครัวว่า “เบอร์ตี” จำเป็นต้องขึ้นครองราชย์แทนในนามกษัตริย์จอร์จที่ 6 แห่งอังกฤษ ทั้งที่มักเอ่ยเสมอว่า เขาไม่อยากเป็นกษัตริย์ด้วยปัญหาด้าน “การพูด” ของตนเอง ความกล้าที่ผู้เป็นพระบิดาบอกไว้ว่า เขาเป็นผู้ที่มีมันอยู่มากที่สุด ทำให้เขาต้องเฟ้นหาผู้ที่จะมาแก้ไข “จุดอ่อน” ของตนให้จงได้
จนเมื่อเอลิซาเบธ (Helena Bonham Carter) ผู้เป็นภริยา ได้พบกับ ไลโอเนล โล้ก (Geoffrey Rush) ชายผู้มีประสบการณ์สูงในการรักษาผู้มีปัญหาด้านการพูดด้วยวิธีที่แปลกแหวกแนว แต่ทว่าได้ผล มารับหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้
ในขณะที่ประเทศอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จำเป็นยิ่งที่ “เสียง” ของกษัตริย์จะถูกใช้เพื่อปลุกปลอบพสกนิกรให้มีกำลังใจ และลุกขึ้นเคียงข้างกษัตริย์ในการผ่านพ้นวิกฤติสงครามในครั้งนี้
————————————–
หนังเล่าเรื่องด้วยจังหวะที่ค่อนข้างเนิบอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเกินไปนัก เรายังได้พบช่วงเวลาที่สร้างเสียงหัวเราะให้เราได้บางช่วง แต่โดยส่วนใหญ่ เรื่องราวยังคงเคร่งเครียด และโหยหาความรู้สึกเอาใจช่วยจากเราอยู่ลึกๆ แม้รู้อยู่แก่ใจว่า เรื่องจะดำเนินไปอย่างไร แต่บางส่วนก็เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ที่เราไม่เคยรับรู้มาก่อน ทำให้เดาเรื่องราวได้เป็นส่วนๆ หากเนื้อหาไม่ได้ยากเกินทำความเข้าใจนัก
ทุกอย่างจึงพุ่งเป้าไปที่การแสดงของแต่ละคน โดยเฉพาะ Colin Firth ผู้แสดงเป็นกษัตริย์จอร์จที่ 6 และ Geoffrey Rush ผู้แสดงเป็น ไลโอเนล โล้ก ผู้บำบัดรักษาปัญหาทางการพูดของกษัตริย์ ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของคนสองคน จากสองชนชั้น จากสองประเทศ ที่ดูยิ่งใหญ่และยืนยาว
หากคนนึงจะเชื่อใจอีกคน เขาจำเป็นต้องถอด “เปลือก” ที่ห่อหุ้มเขาไว้เสียก่อนมั้ย?
ผมถามตัวเองอย่างนั้น แต่สิ่งที่อยู่ในหนังกำลังบอกผม การจะเป็นเพื่อนกัน ความไว้เนื้อเชื่อใจ เป็นสิ่งสำคัญมากพอหรือเปล่า การที่เราจะหาใครสักคนหนึ่งมาช่วยแก้ไขปมด้อยในตัวเรา เราจำเป็นต้องเปิดใจให้เขามั้ย ถ้าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ เขาทำมันด้วยความจริงใจ สิ่งที่รับรู้ได้ด้วยใจเพียงสิ่งเดียว ก็อาจเพียงพอจะใช้ตัดสินอะไรบางอย่างได้
ผู้ชายคนหนึ่งจะยิ่งใหญ่ จำต้องมีผู้หญิงอีกคนที่เป็นเบื้องหลังของความยิ่งใหญ่นั้น
Tagline: When God couldn’t save The King, The Queen turned to someone who could.
เก้าอี้หนึ่งตัว จะทำจากอะไร เก่าหรือใหม่ ก็มีหน้าที่ให้คนนั่งเหมือนๆ กัน ต่างแค่คนนั่งเป็นใคร
คนทุกคนมีปมเป็นของตนเองครับ ปมนั้นจะเกิดจากอะไรก็แล้วแต่ จะเกิดขึ้นตอนไหนก็แล้วแต่ มันคงเป็นปมที่เราไม่ได้อยากบอกใครนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์อังกฤษ แต่ถ้าเราก้าวข้ามปมด้อยนั้นมาได้ เราจะเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่…อย่างน้อยก็ในใจของเราเอง
สุดท้ายตอนจบ พวกเราทุกคนน่าจะมีสิ่งเดียวกันบนใบหน้า นั่นคือ “รอยยิ้ม” ครับผม
———————————-
ชื่อภาพยนตร์ : The King’s Speech / ประกาศก้องจอมราชา
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Tom Hooper
ผู้เขียนบทภาพยนตร์ : David Seidler (screenplay)
นักแสดงนำ : Colin Firth, Geoffrey Rush, Helena Bonham Carter, Guy Pearce, Michael Gambon
แนว/ประเภท : Drama, History
รางวัลที่ได้รับ : Austin Film Critics Award สาขา Best Actor; British Independent Film Award สาขา Best Actor, Best British Independent Film, Best Screenplay, Best Supporting Actor; Golden Globe สาขา Best Performance by an Actor in a Motion Picture – Drama; Phoenix Film Critics Society Awards สาขา Best Actor in a Leading Role และอีกมากมาย
เรท : USA – R, ไทย
ความยาว : 118 นาที
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย : See Saw Films, Bedlam Productions, The Weinstein Company, United Home Entertainment
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย : 3 กุมภาพันธ์ 2554
น่าดูแฮะ