กระแสของความขัดแย้งทางสีผิวบนแผ่นดินอเมริกายังคงร้อนระอุเป็นพักๆ เรื่อยมา แต่เรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้มันย้อนไปไกลในช่วง 1970s ที่ช่วงนั้นมันมีหนังเรื่องหนึ่งออกมาแล้วก็ส่งผลให้มันมีลัทธิหนึ่งตามออกมา แน่นอนว่า ผมคงเกิดไม่ทัน แม้จะเคยได้ยินมาบ้างแต่การได้ดู ‘BlacKkKlansman’ (แบล็คแคลนซ์แมน) คือทำให้เหมือนเห็นเหตุการณ์จริงๆ มากขึ้น
ในวันที่หนังเรื่องนี้ลงมาอยู่ในบริการ Netflix ก็เลยทำให้มีโอกาสได้ดู
ผลงานของพ่อหนุ่มผิวสีที่มาพร้อมกับเคราสุดหล่อ จอห์น เดวิด วอชิงตัน ลูกชายของพ่อเดนเซล วอชิงตัน นั่นเอง และนี่คืออีกงานที่ควรค่าแก่การจดจำของ สไปค์ ลี
เรื่องย่อหนัง ‘BlacKkKlansman’
เหตุมันเริ่มชายผิวสีนามว่า รอน สตัลเวิร์ธ (John David Washington จากผลงานภาพยนตร์เรื่อง ‘Tenet’ และ Tæhe Book of Eli’) เขาอยากเป็นตำรวจมาก ในยุคที่ชาวอเมริกันยังเหยียดผิวกันเข้มข้นนั้น การเป็นตำรวจผิวสีนับว่าเป็นอะไรแปลกและกล้าหาญพอสมควร
เมื่ออยู่ๆ ไปได้สักระยะหนึ่ง เจ้านายก็พาเขาเข้าสู่โลกของการสืบสวน
งานแรกของเขาคือการเข้าไปแทรกซึมอยู่ในงานปราศรัยของผู้นำคนผิวสีคนหนึ่ง เขาเนียนไปรู้จักกับกลุ่มสหภาพนักศึกษาจนได้รู้จักกับสาวหัวหน้าสหภาพฯ แพทรีซ (Laura Harrier จากภาพยนตร์เรื่อง ‘Spider-Man: Homecoming’ และ ‘The Last Five Year’) เรื่องปิ๊งๆ ปั๊งๆ จึงบังเกิด
แต่งานของเขามันไม่ได้จบอยู่แค่นั้น
เมื่อเขาต้องทำงานเป็นทีมเพื่อเข้าไปแทรกซึมในกลุ่มลัทธิ คูคลักซ์แคลน (Ku Klux Klan, KKK) กลุ่มคนที่เหยียดคนผิวสี เขาดันใช้ชื่อจริงของตัวเองในการติดต่อ จริงต้องให้ชาวผิวขาวอย่าง ฟลิป ซิมเมอร์แมน (Adam Driver จาก ‘Star Wars: Episode IX – The Rise of Skywalker’, ‘Marriage Story’ และ ‘Logan Lucky’) ใช้ชื่อเขาเข้าแทรกซึม
ปัญหามันมีวี่แววจะเกิดก็เพราะในกลุ่มนั้นมันมีคนที่สงสัยในตัวรอน(ปลอม) กับอีกปัญหาก็คือ รอน(ตัวจริง)กำลังคบอยู่กับสาวหัวหน้าสหภาพฯ นี่แหละครับ
รีวิวหนัง ‘แบล็คแคลนซ์แมน’
หนังเริ่มต้นด้วยภาพของหนังเก่า เมื่อเวลาเดินไป คนดูอาจจะหลงลืมภาพของหนังซ้อนหนัง จวบจนช่วงเวลาหนึ่ง ที่ผู้กำกับและคนเขียนบทเดินเรื่องเข้าสู่ช่วงเฉลยเรื่องราว ภาพของหนังอีกเรื่องกลับมาอีกครั้ง
ผมจึงรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้พยายามจะพูดถึงเรื่องราวปัญหาทางสังคมที่มักถูกส่องสะท้อนออกมาในรูปแบบของหนังในช่วงเวลานั้นๆ
หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องของความขัดแย้งทางผิวสีและชาติพันธุ์ มันไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องของคนขาวและคนดำ การเหยียดกันนั้นยังมีเรื่องคนยิวอยู่ในนั้นด้วย
Ku Klux Klan ขบวนการที่เป็นเหมือนลัทธิที่มีความคิดสุดโต่ง พวกเขามองคนผิวขาวที่ตัวเองเป็นว่าเป็นผู้มีสายเลือดสูงส่ง ทั้งยังมีความคิดในการต่อต้านการเข้าเมือง ต่อต้านคาทอลิก และยังต่อต้านยิวด้วย
ด้วยเหตุนี้การที่ฟลิป ชายผู้มีเชื้อสายยิวที่แม้จะเติบโตมาด้วยคนอเมริกันธรรมดา ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูด้วยความเป็นยิว แต่เชื้อสายของเขาก็ติดตัวเขามาโดยตลอด ชื่อจริงของเขานั้น ใครได้ยินก็ต้องคิดว่าเขาเป็นยิว เมื่อมาแทรกซึมอยู่ในลัทธินี้ จึงมีความกระอักกระอ่วนชวนเครียดว่าตัวตนจริงจะถูกเปิดโปงมั้ย
ฟลิป ต้องปลอมตัวเข้าไปในชื่อของคนดำที่ทำเนียนพูดคุยกับตัวเอ้ของคูคลักซ์แคลน ทั้งที่ตัวเองมีเชื้อสายยิว คนดูก็ต้องลุ้นตามไปด้วยว่าความลับจะแตกเมื่อไหร่ โดยเฉพาะเมื่อในคนกลุ่มนั้นมีไอ้พวกบ้าที่ดันจมูกไว
เป็นหนึ่งงานที่พิสูจน์ให้เราได้รู้ว่า John David Washington มีความสามารถในการแสดงมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ เพลงประกอบยังนับว่าชวนฟังและทำหน้าที่ส่งเสริมภาพได้ดีเยี่ยม ไม่ใครก็ต่อใครได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็น่าจะออกเสียงชื่นชมไม่มากก็น้อย
BlacKkKlansman เข้าชิง 6 สาขารางวัลออสการ์ในปี 2019 และคว้ามาได้ 1 ออสการ์ในสาขา Best Adapted Screenplay ถือเป็นการกลับมาเกิดอีกครั้งของ Spike Lee ผู้กำกับที่หลายคนครหาว่าเขาฟอร์มตกไปนาน
ภาพยนตร์เรื่อง: BlacKkKlansman
ผู้กำกับภาพยนตร์: Spike Lee
ผู้เขียนบท: Charlie Wachtel, David Rabinowitz
นักแสดงนำ: John David Washington, Adam Driver, Laura Harrier
ดนตรีประกอบ: Terence Blanchard
ความยาว: 135 นาที
ปี: 2018
แนว/ประเภท: Biography, Crime, Drama
อัตราส่วนภาพ: 2.39 : 1
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
เรท: ไทย/-, MPAA/R
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: Netflix (ตั้งแต่ 3 กันยายน 2020)
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Focus Features, Legendary Entertainment, Perfect World Pictures, Universal
แบล็คแคลนซ์แมน
บทและพล็อต - 8.8
การแสดง - 8
เพลง/ดนตรีประกอบ - 8.6
การดำเนินเรื่อง - 8.3
งานภาพ - 7.8
8.3
BlacKkKlansman
ผลงานการกำกับของ Spike Lee ที่กลับมาอีกครั้ง กับหนังที่ว่าด้วยการเหยียผิวและชาติพันธุ์ เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงๆ จากคำบอกเล่าของตำรวจผิวสีที่ปัจจุบันเกษียณแล้ว เมื่อพวกเขาเข้าแทรกซึมในขบวนการ Ku Klux Klan หนังชวนกระอักกระอ่วนและลุ้นไม่น้อยเพราะไม่รู้ว่าตัวเอกจะถูกเปิดโปงเมื่อไหร่ ดูหนังแล้วเหมือนได้เห็นเหตุการณ์เก่าๆ ที่เราเกิดไม่ทัน