
มหากาพย์ไซไฟอวกาศที่เขาบอกกันว่านำมาสร้างหนังได้ยากที่สุดเล่มหนึ่งของโลก แต่ก็มีคนนำมาทำเป็นหนังและซีรีส์ไปแล้ว แต่คงไม่มีเวอร์ชันไหนทำได้ดีและถึงเท่ากับเวอร์ชันนี้ หลังเริ่มต้นด้วยภาคแรกในปี 2021 และลุ้นกันหนักว่าจะได้สร้างต่อมั้ย ก็ปรากฏว่า ในอีก 3 ปีถัดมา ผู้ชมก็สมหวังจนได้ ‘Dune Part Two’ หรือชื่อไทย ‘ดูน ภาคสอง’ เตรียมเข้าฉายในประเทศไทย 29 กุมภาพันธ์นี้แล้ว
ความเห็นส่วนตัวของนายแพท
ผู้กำกับ เดนิส วิลเนิฟ สานต่อมหากาพย์ไซไฟในตำนานที่เขาบอกกันว่าสร้างเป็นหนังได้ยากที่สุด แต่เขาทำได้อีกครั้ง ด้วยหนังภาคต่อที่ยาว 2 ชั่วโมง 46 นาที เล่าเรื่องต่อจากภาคแรกโดยไม่ต้องปูอะไรอีกแล้ว เริ่มต้นมา ก็เจอกับฉากแอ็คชันเลย ต้องบอกว่า ภาคนี้ ฉากสงครามมาเต็มกว่าภาคแรก ฉากหนอนทะเลทรายก็จัดเต็มมากกว่าอีกเช่นกัน ภาคนี้เราจะได้เห็นพัฒนาการของ พอล อะเทรดีส ที่เติบโตแตกต่างไปจากหนุ่มน้อยในภาคก่อน พร้อมกับตัวละครใหม่ที่ชวนตื่นตา และตัวละครลับที่พาเซอร์ไพรส์ พร้อมดนตรีประกอบตึงตังโดนใจจาก ฮานส์ ซิมเมอร์ เช่นเคย
มาลุ้นไปด้วยกันว่า หนังจะประสบความสำเร็จอย่างดีจนมีภาคสามได้อย่างที่เขาต้องการหรือเปล่า
อ่าน รีวิวหนัง Dune Part One ได้ที่นี่ เลยครับ
เรื่องย่อหนัง ‘Dune Part Two’
จากเหตุของจักรพรรดิที่บัญชาให้ตระกูลอะเทรดิสเข้าครอบครองสัมปทานเหมืองสไปซ์แทนที่ตระกูลฮาร์คอนเนน อันส่งผลให้เกิดสงครามระหว่างตระกูลขึ้น และกลายเป็นว่าตระกูลอะเทรดิสพ่ายแพ้ย่อยยับ และพอล (Timothée Chalamet จากหนังเรื่อง ‘Lady Bird’ และ ‘Wonka’) ต้องสูญเสียดยุคเลโทผู้เป็นพ่อไป และเขากับแม่ เจสสิกา (Rebecca Ferguson จากหนังเรื่อง ‘Doctor Sleep’ และ ‘Mission: Impossible – Fallout’) ต้องหลบหนีไปอยู่กับเหล่าเฟรเมน
ที่นั่น เขาได้เจอกับชานี่ (Zendaya จากหนังเรื่อง ‘Spider-Man: No Way Home’ และซีรีส์ ‘Euphoria’) หญิงสาวที่ทำให้เขารู้จักกับวิถีแห่งเฟรเมน ชนพื้นเมืองของดาวอาร์ราคิส ภายใต้การนำของสติลการ์ (Javier Bardem จากหนังเรื่อง ‘The Little Mermaid’ และ ‘Skyfall’) ที่เชื่อว่าพอลคือผู้ที่ถูกเลือก ในขณะที่เขาเองมองว่าตนไม่ใช่
ท่ามกลางความคิดแก้แค้นเอาคืนแก่คนที่สังหารบิดา จักรพรรดิกำลังส่งมือสังหารตามไล่ล่าเขา ศัตรูคนใหม่ถือกำเนิดขึ้น เฟย์ด รอธา (Austin Butler จากหนังเรื่อง ‘Elvis’ และ ‘Once Upon a Time… in Hollywood’) แล้ว พอล อะเทรดีส ผู้มีนิมิตมองเห็นอนาคตเล่า เขาจะเลือกก้าวไปในทางใด?
รีวิวหนัง ‘ดูน ภาคสอง’
อันที่จริง ‘DUNE’ มันเป็นวรรณกรรมจาก แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต ที่ตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 1965 ใครๆ ที่อ่านก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เรื่องราวมันซับซ้อนและต้องพึ่งพางานสร้างที่อลังการเอามากๆ เคยดูเวอร์ชันก่อน ของ เดวิด ลินช์ ก็ต้องบอกว่า ทั้งยาว ทั้งดูยากและไม่เข้าใจอยู่หลายจุด จนมาได้เจอเวอร์ชันนี้ของ เดนิส วิลเนิฟ ที่เลือกสร้างแบบแบ่งภาค แล้วไปวัดดวงเอาว่า ผลตอบรับจะดีพอให้ไปต่อหรือไม่
ด้วยงานสร้างที่น่าทึ่งในทุกองค์ประกอบ ทั้งภาพ เสียง โปรดักชัน และการแสดง อาจเรียกได้ว่า เลือกผู้กำกับได้ถูกคน แถมเทคโนโลยีก็ถึงพร้อมแล้วอีกต่างหาก แต่ถึงอย่างนั้น ‘Dune’ ภาคแรกก็ไม่ใช่จะเข้าถึงได้กับทุกคน ใช่แหละ มันคือภาคปฐมบทที่เล่าปูพื้นของจักรวาลดูน ที่มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ และเป็นภาคที่มีฉากแอ็คชั่นน้อย จึงทำให้หลายคนอาจง่วงหลับ และตื่นขึ้นมาในฉากที่มีดนตรีประกอบอันปึงปังโดดเด้งของ ฮานส์ ซิมเมอร์
และทำให้หลายคนต้องหาข้อมูลเพิ่มและดูซ้ำๆ จนกว่าจะเข้าใจความซับซ้อนเหล่านั้นได้ทั้งหมด แต่ถึงยังไงก็คงไม่เท่ากับได้อ่านเวอร์ชันนิยายร่วมไปด้วยอย่างแน่นอน
คราวนี้ เรามาว่ากันถึง ‘ดูน ภาคสอง’ กันบ้าง ภาคนี้เดินเรื่องต่อทันที โดยไม่ต้องใช้เวลาไปกับการปูเรื่องอะไรอีก มันเล่าไปถึงช่วงเวลาที่ พอล อาเทรดิส ได้ยืนอยู่ท่ามกลางชาวเฟรเมนที่ปรับตัวให้คุ้นชินกับทะเลทรายมาอย่างยาวนาน พวกเขาอยู่อาศัยกันใต้ดิน สร้างชุดสูทที่รีไซเคิลน้ำได้ แถมยังมีความสามารถในการขี่หนอนทราย สัตว์ที่เป็นเหมือนพระเจ้าสำหรับพวกเขาได้อีกต่างหาก พอลได้เรียนรู้จากคนพวกนี้ ก่อนที่ทุกสิ่งจะพาให้เขาเติบโตและแตกต่างจากดูนภาคแรกอย่างสิ้นเชิง
ถ้ามองให้ใหญ่ไปกว่านั้น ดูนมันคือมหากาพย์ที่หลอมรวมเอาทั้งเรื่องการเมือง มนุษย์กับธรรมชาติ นิเวศวิทยา ความเชื่อ ศาสนา แนวความคิดเรื่องร่างกายและจิตใจ เข้ามาไว้ด้วยกัน จึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่เคยล้าสมัย เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด มนุษย์ก็ยังวนเวียนกระทำในสิ่งเดิมๆ
หนังที่เล่าเรื่องการเมืองโดยให้จักรพรรดิชักใยให้สองตระกูลห้ำหั่น หวังลดทอนพลังและสร้างความมั่นคงให้ตนเอง เล่าเรื่องของตระกูลใหญ่ที่เอาแต่กอบโกยผลประโยชน์โดยไม่ใส่ชนพื้นเมือง เล่าเรื่องการปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ ที่ขัดกับแนวคิดพัฒนาดาวแต่เพราะกลัวสูญเสียสิ่งล้ำค่าจนทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่เคยเกิดขึ้น เล่าเรื่องนักบวชที่ดูไร้พิษสงแต่ทรงทรงพลังเกินคาดคิด การให้อำนาจไปอยู่ในมือคนๆ เดียว ผู้คนต่างหวังพึ่งพิงคนๆ เดียว มันก็เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง และยังมีอีกมากมายในหนังสือแต่ต้องตัดทอนไปเพื่อการเล่าในแบบภาพยนตร์
ด้วยโปรดักชั่นที่สุดอลังการ ออกแบบงานสร้างอย่างสุดเนี้ยบ ถึงพร้อมด้วยเทคนิคการสร้างภาพที่พิถีพิถัน ผสานเข้ากับดนตรีประกอบสุดยอดเยี่ยม มุมมองภาพสุด Cinematic ใช้องค์ประกอบและความเป็น IMAX ได้อย่างเต็มเปี่ยม และการแสดงที่โดดเด่นไม่มีใครยอมใคร เรียกได้ว่า นี่คือผลงานที่เจิดจรัสสูงสุดของผู้กำกับคนนี้ เดนิส วิลเนิฟ
Taglines: Long live the fighters.
งานออกแบบสิ่งปลูกสร้างและเครื่องจักรต่างๆ ก็ต้องถือว่าน่าตื่นตาและคิดมาอย่างดี ชอบใจในเครื่องบินหน้าตาและฟังก์ชันคล้ายแมลงปอ ชอบมุมมองภาพยามตัวละครขี่หนอนทราย มันเหมือนเราได้ขึ้นไปขี่หนอนปู่ด้วยตนเอง เม็ดทรายที่ซัดเข้าหน้าชวนรู้สึกสมจริงอย่างมาก ชอบในภาษาและสำเนียงที่เลือกใช้ในแต่ละเผ่าพันธุ์ มีตัวละครเพิ่มขึ้นมากพอสมควร แถมยังมีนักแสดงที่มาเซอร์ไพรส์ชวนฮือฮาด้วย ภาคนี้เดินเรื่องด้วยฉากแอ็คชันสลับดราม่าเรื่อยไปจนจบ ทำให้หนังดูสนุกขึ้นกว่าภาคแรกพอสมควร
มันยังคงเป็นหนังที่สมควรดูซ้ำเช่นเดียวกับภาคแรก เพราะเราจะได้มองเห็นอะไรที่ข้ามไป และเข้าใจเรื่องราวของแต่ละตัวละครได้อย่างเข้าถึง และเมื่อเขาทำมาเพื่อการรับชมในโรงภาพยนตร์อย่าง IMAX ก็ควรจะมีสักครั้งสักรอบที่จะได้รับชมในโรงภาพยนตร์ระบบนี้ แม้จะต้องซ้ำอีกสักรอบสองรอบก็ตาม
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | Dune Part Two / ดูน ภาคสอง |
กำกับ | Denis Villeneuve |
เขียนบท | Denis Villeneuve, Jon Spaihts, (จากบทประพันธ์ของ Frank Herbert) |
แสดงนำ | Timothée Chalamet, Zendaya, Rebecca Ferguson, Javier Bardem, Josh Brolin, Austin Butler, Florence Pugh, Dave Bautista |
แนว/ประเภท | แอ็คชัน, ผจญภัย, ดราม่า, ไซไฟ |
เรท | PG |
ความยาว | 166 นาที |
ปี | 2024 |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
เข้าฉายในไทย | 29 กุมภาพันธ์ 2024 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | Legendary Entertainment, Warner Bros. Entertainment, Villeneuve Films, Warner Bros. |
คะแนนรีวิวหนัง ดูน ภาคสอง
พล็อตและบท - 9.5
การดำเนินเรื่อง - 9.2
การแสดง - 9.5
งานภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชัน - 10
เพลงและดนตรีประกอบ - 9.5
9.5
Dune Part Two
ผู้กำกับ เดนิส วิลเนิฟ สานต่อมหากาพย์ไซไฟในตำนานที่เขาบอกกันว่าสร้างเป็นหนังได้ยากที่สุด แต่เขาทำได้อีกครั้ง ด้วยหนังภาคต่อที่ยาว 2 ชั่วโมง 46 นาที เล่าเรื่องต่อจากภาคแรกโดยไม่ต้องปูอะไรอีกแล้ว เริ่มต้นมา ก็เจอกับฉากแอ็คชันเลย ต้องบอกว่า ภาคนี้ ฉากสงครามมาเต็มกว่าภาคแรก ฉากหนอนทะเลทรายก็จัดเต็มมากกว่าอีกเช่นกัน ภาคนี้เราจะได้เห็นพัฒนาการของ พอล อะเทรดีส ที่เติบโตแตกต่างไปจากหนุ่มน้อยในภาคก่อน พร้อมกับตัวละครใหม่ที่ชวนตื่นตา และตัวละครลับที่พาเซอร์ไพรส์ พร้อมดนตรีประกอบตึงตังโดนใจจาก ฮานส์ ซิมเมอร์ เช่นเคย