
ได้ดูผลงานการแสดงของ Olivia Colman มาหลายเรื่อง มองเห็นว่าเธอคนนี้มีความสามารถมากคนหนึ่ง และเมื่อเห็นว่ามีหนังเรื่องหนึ่งในบริการของเน็ตฟลิกซ์ จึงหมายตาเอาไว้แล้วว่าจะดู ผัดไปผัดมา ในที่สุด วันนี้ก็มาถึง ได้ฤกษ์เปิดดูเสียที ‘The Lost Daughter’ ชื่อไทย ‘ลูกสาวที่สาบสูญ’ เรื่องราวของหญิงสาวที่สูญเสียลูกสาวของตน
และงานนี้ก็ไม่ได้มีแต่โอลิเวีย เพราะหนังยังดึงเอา Dakota Johnson และ Ed Harris มาร่วมงานด้วยอีก หันไปมองดูชื่อผู้กำกับ เป็นผู้กำกับหญิง Maggie Gyllenhaal (จากหนัง ‘The Dark Knight’ และ ‘Crazy Heart’) ดัดแปลงจากนิยายที่เขียนโดยนักเขียนหญิงเช่นกัน เธอคือ Elena Ferrante ถือเป็นงานการกำกับหนังยาวเรื่องแรกแถมยังเขียนบทเองด้วยอีกต่างหาก
หนังได้เข้าชิงลูกโลกทองคำ 2 รางวัล แม้ชวดไปแต่ก็พอการันตีได้พอสมควร
เรื่องย่อหนัง ‘The Lost Daughter’
มันเป็นเรื่องราวของหญิงวัย 48 อย่าง เลด้า (Olivia Colman จากหนังเรื่อง ‘The Favourite’, ‘The Father’ และซีรีส์ ‘The Crown’) อาจารย์สอนวรรณกรรมที่เดินทางมาท่องเที่ยวพักผ่อนที่เมืองชายทะเลในประเทศกรีซเพียงลำพัง แต่ดูเหมือนทริปที่ดูแสนเงียบสงบของเธอจะกลายเป็นยุ่งเหยิงและน่าหงุดหงิด เมื่อเธอมองเห็นการมาถึงของครอบครัวใหญ่ที่เริ่มรบกวนรุกรานความสงบสุขของเธอ
เธอได้พบและรู้จักกับ นีน่า (Dakota Johnson จากหนังเรื่อง ‘The High Note’, ‘Fifty Shades Freed’ และ ‘A Bigger Splash’) หนึ่งในครอบครัวใหญ่นั้น เธอเป็นแม่ของเด็กน้อยวัยกำลังน่ารักคนหนึ่ง ที่พาให้เธอหวนนึกถึงลูกสาวของตนเอง
ความจริงแล้ว เลด้าเธอมีลูกสาวสองคน หนังจึงพาไปสำรวจชีวิตจิตใจของแม่คนหนึ่งที่หนีไกลออกมาจากครอบครัวและจากอดีตของตน แต่ดูท่าทางเธอจะไม่เคยหลีกพ้นแม้สักที
รีวิวหนัง ‘ลูกสาวที่สาบสูญ’
งานกำกับชิ้นแรกๆ ของ Maggie Gyllenhaal ที่เขียนบทเองด้วย ออกมาไม่เลวเลย แม้ลีลาการดำเนินเรื่องจะค่อนข้าง slow burn อยู่สักหน่อย ปล่อยให้คนดูซึมซับความรู้สึกของตัวละครกันอย่างเต็มที่ ถ่ายภาพแบบแฮนด์เฮสด์อยู่เกือบตลอดเรื่อง นัยว่าจะพยายามส่งสารความรู้สึกของตัวละครหลักที่หวั่นไหวไม่แน่นอน ตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยังดิ้นรนสับสน และหาคำตอบให้ตัวเองยังไม่ได้
ขณะเดียวกัน ก็เปิดเรื่องอย่างเชื่องช้า คนดูแทบจะไม่รู้เลยว่า หนังกำลังเล่าถึงอะไรจนเมื่อเวลาของหนังผ่านไปเป็นสิบนาที จึงมองเห็นเค้าลางบางอย่างในตัวเลด้า
ความสงบสุขในการมาเที่ยวทะเลครั้งนี้ เหมือนคนที่หนีอะไรสักอย่าง พยายามจะปลีกวิเวกมาอยู่คนเดียว แต่กลับถูกรบกวนด้วยครอบครัวใหญ่ที่พยายามจะรุกล้ำพื้นที่ของเธอ แต่แล้ว เมื่อมองเด็กน้อยคนนั้นก็พลันไปสะกดต่อมอะไรสักอย่างในใจ จึงแสดงมันออกมาให้คนดูได้รู้ว่า ที่จริงเธอมีบางสิ่งติดอยู่ในใจ ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องลูกสาวทั้งสองของเธอ
จากนั้น หนังก็เริ่มเล่าสลับย้อนไปยังช่วงอดีต สมัยที่เธอยังอยู่กับสามี กับลูกสาวสองคน ทำให้เราได้เห็นเลด้าในวัยสาวที่เป็นลีลาการแสดงของ Jessie Buckley (จากหนังเรื่อง I’m Thinking of Ending Things และ Judy) และทำให้เราได้เห็นว่า เธอได้พบเจอกับช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดอย่างไรในช่วงวัยนั้น
การมีลูกสาวคงเป็นความสุขอย่างยิ่งยวดสำหรับคนเป็นแม่ แต่บางครั้งก็อาจสร้างรอยร้าวในใจเธอได้เช่นกัน ในวันเก่าที่เธอไม่อาจรับมือกับลูกสาวทั้งสองได้ดีพอ แถมยังมีจิตใจที่อ่อนไหวจนก่อเหตุผิดพลาดเอาไว้เสียอีก โจทย์ตรงนี้ก็ถือว่าเจสซี่เล่นเอาไว้ได้ดีพอสมควร
แต่ก็น่าเสียดายที่หนังเหมือนอยากจะพาเราไปเจออะไรแต่เมื่อไปถึงกลับไม่เจอ
หนังพาให้เราไปเจอกับ Ed Harris ที่ก็ดูแก่ลงไปมาก ได้เห็นลีลาการแสดงของเขาอีกครั้งกับบท ไลล์ ชายชราผู้ดูแลบ้านใหญ่ที่เลด้าเข้าไปพัก บทบาทที่เหมือนจะมีอะไร แต่ก็กลับไม่มีอะไร บางจุดก็ดูแปลกๆ ที่จับเข้ามาใส่แต่พาผู้ชมอึ้งไปไม่มีคำตอบ เรื่องราวดำเนินไปถึงจุดหนึ่ง ที่ไลล์พบเจอความลับของเลด้า นึกว่าจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนแต่ก็ทิ้งไว้ตรงนั้น บางทีก็นึกสงสัยอยู่ครามครันว่าใส่มาทำไม
พฤติกรรมและท่าทีของคนในครอบครัวของนีน่าเอง ก็ชวนสงสัยว่า พวกเขารู้สึกเช่นไรและมีผลอะไรในเรื่อง เพราะหนังก็ไม่ได้เล่าอะไรในมุมนั้นต่อ ชวนให้คนดูอย่างเรานั่งงงกันไป
หันมามอง โอลิเวีย โคลแมน กันบ้าง สิ่งที่เธอแสดงไว้ในหนัง บ่งบอกว่า เลด้าเป็นหญิงที่ยอมเก็บกดความรู้สึกไว้ข้างใน แต่ภายนอกได้แต่บอกว่าไม่เป็นอะไร อาจเป็นความรู้สึกผิดหรืออะไรสักอย่างที่คอยกระตุ้นเตือนให้เธอยังนึกถึงแต่เรื่องอดีต การแสดงของโอลิเวียนั้น เรียกได้เลยว่า แบกหนังเอาไว้เต็มๆ เรื่องราวที่ผู้ชมไม่รู้เลยว่าจะจบยังไง และถูกบอกเล่าอย่างเรื่อยเอื่อย หากยังพอจะน่าติดตามไม่เททิ้งกลางทางนั้น
เป็นเพราะความสามารถของเธอแทบจะล้วนๆ
ทำให้เราทั้งรู้สึกสะเทือนใจไปด้วยกับผู้หญิงที่เป็นแม่คนนึงแต่ผิดหวังว่าการทำหน้าที่แม่ของตนเอง รักลูกอยากอยู่ใกล้ลูกแต่ก็ไม่อาจยอมรับความไร้อิสระ บวกกับความผิดพลาดที่เคยทำไว้เพราะจิตใจอ่อนแอ หรืออะไรก็แล้วแต่ จึงทำให้วันนี้ เธอจึงทำผิดอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจตนเอง
เรื่องราวค่อยเดินมาอย่างน่าสนใจมากขึ้น เมื่อหนังเริ่มตัดสลับเรื่องราวในอดีต และเดินมาจนถึงจุดพลิกผัน
หนังอาจต้องการบอกถึงความเจ็บปวดของคนเป็นแม่ ที่ยังคงจมจ่อมอยู่กับความผิดพลาดในอดีต และทริปครั้งนี้ อาจเป็นอีกครั้งของการหนีไปเพื่อค้นหาคำตอบอะไรสักอย่าง แม้สิ่งที่ทำไปจะกลายเป็นความผิดซ้ำซาก แต่ก็เหมือนจะให้คำตอบกับเธอในบั้นปลาย
อีกส่วนหนัง ก็อาจมีพล็อตรองที่เกี่ยวกับโลกที่ผู้หญิงต้องเผชิญในสังคมชายเป็นใหญ่ ดูเหมือนสามีจะไม่ได้ช่วยดูแลลูกมากนัก จนเธออ่อนใจกับการรับมือลูกสาวทั้งสองในเวลาเดียวกัน อีกทั้ง ชีวิตในบ้านก็อาจบั่นทองหนทางก้าวหน้าในการเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย จนทำให้เธอต้องตัดสินใจอะไรผิดพลาดเช่นนั้น การเลือกเอาตัวเข้าแลกโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา เป็นเหตุให้จิตใจเธอต้องทุกข์ทนเป็นวังวนจนก่อเหตุเช่นในหนัง
แม้สุดท้าย จะไม่ได้คำตอบที่หนักแน่นมากนัก แต่ก็คลี่คลายได้ในระดับหนึ่ง
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | The Lost Daughter / ลูกสาวที่สาบสูญ |
ผู้กำกับ | Maggie Gyllenhaal |
ผู้เขียนบท | Maggie Gyllenhaal |
นักแสดง | Olivia Colman, Jessie Buckley, Dakota Johnson, Ed Harris, Peter Sarsgaard |
แนว/ประเภท | Drama |
เรท | R |
ความยาว | 121 นาที |
ปี | 2021 |
เข้าฉายในไทย | 31 ธันวาคม 2021 [ใน Netflix] |
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย | Endeavor Content , Samuel Marshall Films, Pie Films, Faliro House Productions |
ลูกสาวที่สาบสูญ
พล็อตและบท - 6.5
การแสดง - 7.6
การดำเนินเรื่อง - 6.4
เพลงและดนตรีประกอบ - 7.1
งานถ่ายภาพและโปรดักชั่น - 7.3
7
The Lost Daughter
เรื่องราวของหญิงวัยกลางคนที่ไปเที่ยวกรีซคนเดียวเพื่อเยียวยาจิตใจ ก่อนไปก่อเรื่องในระหว่างนั้น ที่อาจให้คำตอบกับสิ่งที่เธอต้องทนทุกข์เรื่องลูกสาวเธอได้บ้าง หนังอาจต้องการบอกถึงความเจ็บปวดของคนเป็นแม่ ที่ยังคงจมจ่อมอยู่กับความผิดพลาดในอดีต และทริปครั้งนี้ อาจเป็นอีกครั้งของการหนีไปเพื่อหาคำตอบอะไรสักอย่าง แม้สิ่งที่ทำไปจะกลายเป็นความผิดซ้ำซาก แต่ก็เหมือนจะให้คำตอบกับเธอในบั้นปลาย